วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556


การจัดการตามหลักการจัดการทั่วไป (General principles of management)
ตามทฤษฎีการจัดการของ Henri Fayol



Fayol มีความเชื่อว่า เป็นไปได้ที่เราจะหาทางศึกษาถึงศาสตร์ที่เกี่ยวกับการบริหาร (Administrative sceinces) ซึ่งสามารถใช้ได้กับการบริหารทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานอุตสาหกรรมหรืองานรัฐบาล Fayol ได้สรุปสาระสำคัญตามแนวความคิดของตนไว้ดังนี้ คือ
 1. เกี่ยวกับหน้าที่การจัดการ (management functions) Fayol ได้อธิบายถึงกระบวนการจัดการงานว่า ประกอบด้วยหน้าที่(functions) ทางการจัดการ ประการ คือ
1.       การวางแผน (Planning) หมายถึง ภาระหน้าที่ของผู้บริหารที่จะต้องทำการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจ และกำหนดขึ้นเป็นแผนการปฏิบัติงานหรือวิถีทางที่จะปฏิบัติเอาไว้ เพื่อสำหรับเป็นแนวทางของการทำงานในอนาคต
2.       การจัดองค์การ (Organizing) หมายถึง ภาระหน้าที่ที่ผู้บริหารจำต้องจัดให้มีโครงสร้างของงานต่าง ๆ และอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้เพื่อให้เครื่องจักร สิ่งของและตัวคน อยู่ในส่วนประกอบที่เหมาะสม ในอันที่จะช่วยให้งานขององค์การบรรลุผลสำเร็จได้
3.       การบังคับบัญชาสั่งการ (Commanding) หมายถึง หน้าที่ในการสั่งงานต่าง ๆ ของผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งกระทำให้สำเร็จผลด้วยดี โดยที่ผู้บริหารจะต้องกระทำตนเป็นตัวอย่างที่ดี จะต้องเข้าใจคนงานของตน
4.       การประสานงาน (Coordinating) หมายถึง ภาระหน้าที่ที่จะต้องเชื่อมโยงงานของทุกคนให้เข้ากันได้ และกำกับให้ไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน
5.       การควบคุม (Controlling) หมายถึง ภาระหน้าที่ในการที่จะต้องกำกับให้สามารถประกันได้ว่ากิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำไปนั้นสามารถเข้ากันได้กับแผนที่ได้วางไว้แล้ว
ทั้ง 5 หน้าที่ที่ Fayol ได้วิเคราะห์แยกแยะไว้นี้ ถือได้ว่าเป็นวิถีทางที่จะให้ผู้บริหารทุกคน สามารถบริหารงานของตนให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายได้
 2. ผู้บริหารจะต้องมีคุณลักษณะพร้อมความสามารถทางร่างกาย จิตใจ ไหวพริบ การศึกษาหาความรู้ เทคนิคในการทำงาน และประสบการณ์ต่าง ๆFayol แยกแยะให้เห็นว่าคุณสมบัติทางด้าน เทคนิควิธีการทำงาน นั้น สำคัญที่สุดในระดับคนงานธรรมดา แต่สำหรับระดับสูงขึ้นไปกว่านั้นความสามารถทางด้านบริหาร จะเพิ่มความสำคัญตามลำดับ และมีความสำคัญมากที่สุดในระดับผู้บริหารขั้นสุดยอด (Top executive) ควรจะได้มีการอบรม (training) ความรู้ทางด้านบริหารควบคู่กันไปกับความรู้ทางด้านเทคนิคในการทำงาน
 3. เกี่ยวกับหลักจัดการ (Management principles) Fayol ได้วางหลักทั่วไปที่ใช้ในการบริหารไว้ 14 ข้อ ซึ่งใช้สำหรับเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้บริหาร หลักทั่วไปดังกล่าวมีดังนี้คือ
1.       หลักที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ (authority & responsibility) คือ อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่แยกจากกันมิได้ ผู้ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ที่จะออกคำสั่งได้นั้น ต้องมีความรับผิดชอบต่อผลงานที่ตนทำไปนั้นด้วย
2.       หลักของการมีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว (unity of command) คือ ในการกระทำใด ๆ คนงานควรได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เกิดความสับสนในคำสั่งด้วยการปฏิบัติตามหลักข้อนี้ ย่อมจะช่วยให้สามารถขจัดสาเหตุแห่งการเกิดข้อขัดแย้งระหว่างแผนกงาน และระหว่างบุคคลในองค์การให้หมดไป
3.       หลักของการมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน (unity of direction) กิจกรรมของกลุ่มที่มีเป้าหมายอันเดียวกันควรจะต้องดำเนินไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกัน เป็นไปตามแผนงานเพียงอันเดียวร่วมกัน
4.       หลักของการธำรงไว้ซึ่งสายงาน (scalar chain) สายงานอันนี้คือสายการบังคับบัญชาจากระดับสูงมายังระดับต่ำสุด ด้วยสายการบังคับบัญชาดังกล่าวจะอำนวยให้การบังคับบัญชาเป็นไปตามหลักของการมีผู้บัคับบัญชาเพียงคนเดียว และช่วยให้เกิดระเบียบในการส่งทอดข่าวสารข้อมูลระหว่างกันอีกด้วย
5.       หลักของการแบ่งงานกันทำ (division of work or specialization) คือ การแบ่งแยกงานกันทำตามความถนัด โดยไม่คำนึงถึงว่าจะเป็นงานด้านบริหารหรือด้านเทคนิค
6.       หลักเกี่ยวกับระเบียบวินัย (discipline) โดยถือว่าระเบียบวินัยในการทำงานนั้น เกิดจากการปฏิบัติตามข้อตกลงในการทำงาน ทั้งนี้โดยมุ่งที่จะก่อให้เกิดการเคารพเชื่อฟัง และทำงานตามหน้าที่ด้วยความตั้งใจ เรื่องดังกล่าวนี้ จะทำได้ก็โดยที่ผู้บังคับบัญชาต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต และเป็นตัวอย่างที่ดี ข้อตกลงระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา จะต้องเป็นไปอย่างยุติธรรมมากที่สุด และจะต้องยึดถือเป็นหลักปฏิบัติอย่างคงเส้นคงวา
7.       หลักของการถือประโยชน์ส่วนบุคคลเป็นรองประโยชน์ส่วนรวม (subordination of individual to general interest) หลักข้อนี้ระบุว่า ส่วนรวมย่อมสำคัญกว่าส่วนย่อยต่าง ๆ เพื่อที่จะให้สำเร็จผลตามเป้าหมายของกลุ่ม (องค์การนั้น ผลประโยชน์ส่วนได้เสียของกลุ่มย่อมต้องสำคัญเหนืออื่นใดทั้งหมด
8.       หลักของการให้ผลประโยชน์ตอบแทน (remuneration) การให้และวิธีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนควรที่จะยุติธรรม และให้ความพอใจมากที่สุดแก่ทั้งฝ่ายลูกจ้างและนายจ้าง
9.       หลักของการรวมอำนาจไว้ส่วนกลาง (centralization) หมายถึง ว่าในการบริหารจะมีการรวมอำนาจไว้ที่จุดศูนย์กลาง เพื่อให้ควบคุมส่วนต่าง ๆ ขององค์การไว้ได้เสมอ และการกระจายอำนาจจะมากน้อยเพียงใดก็ย่อมแล้วแต่กรณี
10.    หลักของความมีระเบียบเรียบร้อย (order) ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าสิ่งของหรือคนต่างต้องมีระเบียบและรู้ว่าตนอยู่ในที่ใดของส่วนรวม หลักนี้ก็คือหลักมูลฐานที่ใช้ในการจัดสิ่งของและตัวคนในการจัดองค์การนั่นเอง
11.    หลักของความเสมอภาค (equity) ผู้บริหารต้องยึดถือความเอื้ออารีและความยุติธรรมเป็นหลักปฏิบัติต่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ทั้งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งความจงรักภักดี และการอุทิศตนเพื่องาน
12.    หลักของความมีเสถียรภาพของการว่าจ้างทำงาน (stability of tanure) กล่าวว่า ทั้งผู้บริหารและคนงานต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เพื่อเรียนรู้งานจนทำงานได้ดี การที่คนเข้าออกมากย่อมเป็นสาเหตุให้ต้องสิ้นเปลือง และเป็นผลของการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
13.    หลักของความคิดริเริ่ม (initiative) เนื่องจากว่าคนฉลาดย่อมต้องการที่จะได้รับความพอใจจากการที่ตนได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาควรจะเปิดโอกาสให้ผู้น้อยได้ใช้ความริเริ่มของตนบ้าง
14.    หลักของความสามัคคี (esprit de corps) เน้นถึงความจำเป็นที่คนต้องทำงานเป็นกลุ่มที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (teamwork) และชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการติดต่อสื่อสาร (communication) เพื่อให้ได้มาซึ่งกลุ่มทำงานที่ดี
หลักการจัดการของ Fayol ข้างต้นนี้ ยังเป็นหลักเกณฑ์ที่ได้ใช้ปฏิบัติอยู่จนทุกวันนี้ เพราะไม่ว่าเราจะยกเอากิจการใดก็ตามขึ้นมาแยกแยะดู ก็จะเห็นว่างานบริหารขององค์การเหล่านี้ มีการจัดแบ่งหน้าที่ขอเงผู้บริหารไว้ใกล้เคียงกับหลักเกณฑ์ที่Fayol ได้แบ่งแยกเอาไว้
ผลงานที่ Taylor และ Fayol ได้คิดค้นขึ้นมาในช่วงสมัยการจัดการที่มีหลักเกณฑ์นั้น ทั้งสองกรณีมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนซึ่งกันและกัน นักบริหารทั้งสองคนนี้ต่างมีความเชื่อตรงกันว่า ถ้าได้มีการจัดการด้านที่เกี่ยวกับบุคคลและทรัพยากรอื่น ๆ อย่างถูกต้องแล้ว ก็จะเป็นกุญแจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ และทั้งสองก็ได้ใช้วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการจัดการด้วย จะมีที่เป็นข้อแตกต่างแต่ไม่เป็นการขัดแย้งกันก็คือ Taylor ใช้วิธีเริ่มพิจารณามาจากระดับปฏิบัติการจากข้างล่าง และมุ่งสนใจพิจารณาในระดับงานที่เป็นงานปฏิบัติการที่ฐาน ส่วน Fayol นั้นเนื่องจากได้ใช้เวลาส่วนมากค้นคว้าหลักทฤษฎี จากตำแหน่งงานบริหารในระดับสูงที่ทำงานอยู่

สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล



 สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (อังกฤษLiverpool Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมืองลิเวอร์พูล มณฑลเมอร์ซีไซด์ โดยลิเวอร์พูลครองแชมป์ดิวิชัน 1 ถึง 18 ครั้ง ครองแชมป์ยูโรเปียนคัพ 5 ครั้ง ยูฟ่าคัพ 3 ครั้ง และยูฟ่าซูเปอร์คัพอีก 3 ครั้ง ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) มีฉายาในภาษาไทยว่า "หงส์แดง" พร้อมด้วยคำขวัญ "You'll Never Walk Alone"

ประวัติสโมสร



จอห์น โฮลดิง นักธุรกิจชาวเมืองลิเวอร์พูลได้เช่าพื้นที่บริเวณ แอนฟิลด์ โรด เพื่อใช้สร้างสนามฟุตบอล และเมื่อสร้างเสร็จได้ให้เอฟเวอร์ตันเช่าเป็นสนามแข่ง และเมื่อทีมเอฟเวอร์ตันได้เข้าสู่สมาชิกฟุตบอลลีก จอห์น โฮลดิง พยายามจะเข้าไปบริหารงานในทีมเอฟเวอร์ตันและได้เพิ่มค่าเช่าสนามที่ทีมได้เช่าอยู่ ฝ่ายกลุ่มบริหารของเอฟเวอร์ตันจึงยกเลิกสัญญาเช่าสนาม และทีมเอฟเวอร์ตันได้ย้ายสนามไปอีกฝากของสวนสาธารณะ สแตนลีย์พาร์ค เพื่อไปสร้างสนามเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อสนามว่า กูดิสันพาร์ค ดังนั้น จอห์น โฮลดิง จึงต้องการสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมา และ จอห์น โฮลดิง จึงไปชวนเพื่อนสนิทของเขาชื่อ จอห์น แมคเคนน่า มาทำหน้าที่ประธานสโมสรและได้ตั้งชื่อทีมฟุตบอลนี้ว่า Liverpool Football Club


สนามแอนฟิลด์
หลังจากที่สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งได้ไม่นาน ได้จัดการแข่งขัดนัดอุ่นเครื่อง ซึ่งเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมลิเวอร์พูลกับทีมร็อตเตอร์แฮม ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะไปด้วยผลการแข่งขัน 7-1 และลิเวอร์พูล ได้ลงแข่งขันฟุตบอลลีกของแคว้น แลงคาเชียร์ ปรากฏว่าลิเวอร์พูลลงแข่งทั้งหมด 22 นัด ชนะ 17 นัด และได้แชมป์ไปครอง ส่งผลให้ทางสโมสรสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกซึ่งได้รับการยอมรับและถูกคัดเลือกให้ลงเล่นในดีวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-1894 สโมสรจึงได้เลือกสัญลักษณ์ของทีมเป็น นกลิเวอร์เบิร์ด (Liverbird) ซึ่งเป็นนกแถบทะเลไอริช บริเวณแม่น้ำเมอร์ซีย์ โดยที่ปากนกคาบใบไม้ไว้ ทีมลิเวอร์พูลได้ลงทำการแข่งขันอย่างเป็นทางในฟุตบอลลีก ดิวิชั่น 2 ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1893 โดยทีมลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีมมิดเดิลสโบรซ์ ไอโรโนโปลิส และทีมลิเวอร์พูลสามารถได้แชมป์มาครองโดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยตลอดทั้งฤดูกาล (ทั้งหมด 28 นัด) แต่การคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 2 ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสองก่อน โดยทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ ทีมนิวตัน ฮีธ (ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน) และลงแข่งขันที่สนามของทีมแบล็คเบิร์น ซึ่งทีมลิเวอร์พูลเอาชนะทีมนิวตัน ฮีธไปด้วยผล 2-0 และได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ในที่สุด
สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2435 และก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรแนวหน้าของอังกฤษอย่างรวดเร็วจนประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ลีกสูงสุดชองประเทศครั้งแรกในปี พ.ศ. 2444 (ฤดูกาล 1900/01) และครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2449 (ฤดูกาล 1905/06) ครั้งที่ 3 และ 4 เป็นแชมป์สองฤดูกาลติดใน พ.ศ. 2465 กับ พ.ศ. 2466 (ฤดูกาล 1921/22 กับ 1922/23) แชมป์ลีกสูงสุดครั้งที่ 5 คือปี พ.ศ. 2490 (ฤดูกาล 1946/47) อย่างไรก็ตามลิเวอร์พูลพบกับช่วงตกต่ำต้องไปเล่นในในดิวิชัน 2 ใน พ.ศ. 2497 (ฤดูกาล 1953/54) ภายหลังจึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสโมสรในปี พ.ศ. 2502 สโมสรได้แต่งตั้ง บิลล์ แชงก์คลี เป็นผู้จัดการทีม เขาได้เปลี่ยนแปลงทีมไปอย่างมาก จนประสบความสำเร็จได้เลื่อนชั้นในปี พ.ศ. 2505 (ฤดูกาล 1961/62) และได้แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้งใน พ.ศ. 2507 (ฤดูกาล 1963/64) หลังจากรอคอยมานานถึง 17 ปี บิล แชงก์ลี คว้าแชมป์เอฟเอคัพเป็นถ้วยแรกของสโมสรลิเวอร์พูลในปี พ.ศ. 2508 (ฤดูกาล 1964/65) และคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา พ.ศ. 2509 (ฤดูกาล 1965/66) ความสำเร็จของแชงก์ลียังเดินหน้าต่อไป เมื่อลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ พร้อมแชมป์ดิวิชั่น 1 ใน พ.ศ. 2516 (ฤดูกาล 1972/73) และเอฟเอคัพ อีกครั้งใน พ.ศ. 2517 (ฤดูกาล 1973/74) หลังจากนั้น บิลล์ แชงก์คลี ขอวางมือจากสโมสร โดยให้ผู้ช่วยของเขาสืบทอดตำแหน่ง ผู้จัดการทีมแทน นั่นคือ บ็อบ เพสส์ลี
สโมสรต้องประสบกับความซบเซาในช่วงหนึ่งหลังจากได้แชมป์ลีกสูงสุดในปี พ.ศ. 2533 คือได้เพียงเอฟเอคัพ 1 ใบ ปี พ.ศ. 2535 กับลีกคัพ 1 ใบในปี พ.ศ. 2538 แต่ก็ฟื้นฟูขึ้นมาได้เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์บอลถ้วยทั้งในระดับประเทศและระดับทวีปถึง 3 แชมป์ (คาร์ลิ่ง ลีกคัพเอฟเอคัพ รวมทั้งยูฟ่าคัพ) ได้ในปี พ.ศ. 2544 (ฤดูกาล 2000/01) ในปี 2544 นี้ลิเวอร์พูลยังคว้าถ้วยยูฟ่าซูเปอร์คัพ ที่เอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในปีนั้น รวมทั้งเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด คู่ปรับตัวฉกาจในถ้วยชาริตีชีลด์ ก่อนเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีกเป็นปีที่หอมหวานปีหนึ่งของกองเชียร์ลิเวอร์พูล นักเตะสำคัญยุคนั้นได้แก่ ไมเคิล โอเวนเอมิล เฮสกีสตีเวน เจอร์ราร์ดซามี ฮูเปีย และ ยอร์น อาร์เน รีเซ เป็นต้น ทีมชุดนี้ผู้จัดการทีมคือ เฌราร์ อูลีเย ชาวฝรั่งเศส ผลงานเป็นชิ้นเป็นอันส่งท้ายของอูลีเยคือ การนำทีมลิเวอร์พูลชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0 ในนัดชิงฟุตบอลลีกคัพ พ.ศ. 2546 (ฤดูกาล 2002/03) และแชมป์ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของลิเวอร์พูลคือปี 2548 ชนะในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เป็นครั้งที่ 5 ของสโมสร ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ตื่นตาตื่นใจครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์บอลยุโรป เมื่อลิเวอร์พูลไล่ตีเสมอทีม เอซี มิลาน เป็น 3-3 ทั้งที่โดนยิงนำไปก่อนถึง 3-0 และในที่สุดคว้าแชมป์มาได้จากการยิงจุดโทษชนะ 3-2 เป็นทีมจากอังกฤษที่ครองถ้วยยูโรเปียนคัพ (ปัจจุบันคือ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก) มากครั้งที่สุดถึง 5 สมัย ผู้เล่นที่สำคัญในยุคนั้น อาทิ สตีเวน เจอร์ราร์ด,ชาบี อาลอนโซดีทมา ฮามันน์วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์เจอร์ซี ดูเด็ค และ เจมี คาร์ราเกอร์ คุมทัพโดย ผู้จัดการทีมสัญชาติสเปน ราฟาเอล เบนิเตซ ในฤดูกาลต่อมา พ.ศ. 2549 (ฤดูกาล 2005/06) ลิเวอร์พูลของเบนิเตซทำให้แฟนบอลต้องลุ้นอีกครั้ง ในนัดชิงเอฟเอคัพ เมื่อต้องอาศัยลูกยิงมหัศจรรย์ของสตีเวน เจอร์ราร์ด ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บตีเสมอทีม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด คู่ชิงแชมป์ในปีนั้นทำให้เสมอกันที่ 3-3 ต้องตัดสินแชมป์ด้วยการยิงจุดโทษอีกครั้ง และลิเวอร์พูลก็สามารถชนะไปได้ 3-1 เป็นแชมป์สำคัญรายการล่าสุดที่ลิเวอร์พูลทำได้ แต่รายการที่แฟนบอลต้องการมากที่สุดคือแชมป์ลีกของประเทศ หรือพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน ซึ่งปีล่าสุดที่ลิเวอร์พูลคว้ามาได้คือ พ.ศ. 2533 (ฤดูกาล 1989/90) จากการคุมทีมของ เคนนี ดัลกลิช ซึ่งต่อมาภายหลังดัลกลิชสามารถนำ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้ในปี พ.ศ. 2538 (ฤดูกาล 1994/95)
ในฤดูกาล 2009-10 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งทำให้ไม่ได้ไปแข่งขันในรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เบนิเตซต้องลาออกจากตำแหน่งด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย[3] และแทนที่โดย รอย ฮอดจ์สัน อดีตผู้จัดการทีม สโมสรฟูแลม[4] ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2010–11 สโมสรลิเวอร์พูลนั้นเสี่ยงต่อการล้มละลาย เนื่องจากแบกรับหนี้สินเป็นจำนวนมากจากการทำงานของ จอร์จ ยิลเลตต์ และ ทอม ฮิกส์ ทำให้ต้องขายสโมสร ต่อมาจอห์น ดับเบิลยู เฮนรี เจ้าของทีม บอสตัน เรด ซ็อกซ์และนิว อิงแลนด์ สปอร์ตส์ เวนเจอร์ส ได้ทำการซื้อขายสำเร็จในการซื้อสโมสรลิเวอร์พูล เมื่อตุลาคม 2010[5] ผลการแข่งขันที่ย่ำแย่ในช่วงต้นฤดูกาล ทำให้ฮอดจ์สันลาออกจากตำแหน่ง โดยมี เคนนี ดัลกลิช กลับมาคุมทีมอีกครั้ง[6]โดยในฤดูกาล 2011-12 สามารถคว้าแชมป์ในรายการ คาร์ลิงคัพ ได้สำเร็จเป็นสมัยที่แปดจากการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซีตี ผลประตูรวม 3-2[7] ในฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 8 ซึ่งเป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี[8] ทางสโมสรก็ได้ปลดดัลกลิชออกจากตำแหน่ง[9][10] เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ทางสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง เบรนดัน ร็อดเจอส์ อดีตผู้จัดการทีมสโมสรสวอนซีซิตี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่


ที่มาของ The Kop


ดอะ ค็อป เป็นชื่อที่ใช้เรียกตามชื่อของเนินเขาแห่งหนึ่งใน นาทาล ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งคนท้องถิ่นจะรู้จักกันในนาม สปิออน ค็อป โดยเกิดเหตุการณ์การทำสงครามบัวร์ขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1900อังกฤษได้ส่งทหารไปกว่า 300 นาย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูล แต่แล้วในสงครามนั้นเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้นคือ อังกฤษได้เสียทหารไปเกินกว่าครึ่ง เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น นักข่าวกีฬาของหนังสือพิมพ์ลิเวอร์พูลเดลี่โพสต์ ชื่อ เออร์เนสต์ เอ็ดเวิร์ตส์ จึงเสนอชื่อ สปิออน ค็อป ตามชื่อของเนินเขาลูกนั้น เป็นชื่อของอัฒจันทร์หลังประตูในการสร้างสนามใหม่ขึ้นมา เพื่อเป็นเกียรติในความกล้าหาญของทหารอังกฤษทั้ง 300 นาย ซึ่งต่อมาอัฒจันทร์แห่งนี้ได้กลายอัฒจันทร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกของฟุตบอลแห่งหนึ่ง. ในปี ค.ศ. 1928 ได้มีการต่อเติมอัฒจันทร์แห่งนี้ใหม่ และเมื่อใดเมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลของทีมลิเวอร์พูลขึ้น คนที่ไปดูการแข่งขันของทีมบนอัฒจันทร์จะเรียกตัวเองว่า เดอะ ค็อป (The Kop) และแล้วจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่สนามฮิลส์โบโร่ ในปี ค.ศ. 1989 ซึ่งเกิดการถล่มของอัฒจันทร์ขึ้น ในการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ กับ นอร์ทติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 96 คน จึงมีคำสั่งให้ทุกสนามเปลี่ยนจากอัฒจันทร์ยืนเป็นแบบนั่งทั้งหมด และนั่นเป็นการปิดฉากของอัฒจันทร์ สปิออน ค็อป อัฒจันทร์แบบยืนที่มีความยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีอัฒจันทร์ใหม่ขึ้นมาและใช้ชื่อว่า นิว ค็อป ซึ่งความหมายต่าง ๆ ยังคงเหมือนเดิม แม้ชื่ออัฒจันทร์จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม นิว ค็อป ยังคงมีกลิ่นอายของประวัติเหล่านั้นอยู่เต็มเปี่ยม โดยปกติแล้วเมืองลิเวอร์พูลจะไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ แต่ทว่าเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่รายล้อมอยู่บนทุกๆที่ไม่ว่าจะถนนสายไหน



ผู้เล่นชุดปัจจุบัน


ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2013[13]
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
No.ตำแหน่งผู้เล่น
1ธงชาติของออสเตรเลียGKแบรด โจนส์
2ธงชาติของอังกฤษDFเกล็น จอห์นสัน
3ธงชาติของสเปนDFโคเซ เอนรีเก ซานเชซ
5ธงชาติของเดนมาร์กDFดาเนียล แอ็กเกอร์
7ธงชาติของอุรุกวัยFWลุยส์ ซัวเรซ
8ธงชาติของอังกฤษMFสตีเวน เจอร์ราร์ด (C)
10ธงชาติของบราซิลMFฟิลิปเป คูตินโญ
11ธงชาติของโมร็อกโกMFอุสซามา อัสไซดี
14ธงชาติของอังกฤษMFจอร์แดน เฮนเดอร์สัน
15ธงชาติของอังกฤษFWเดเนียล สเตอร์ริดจ์
16ธงชาติของอุรุกวัยDFเซบาสเตียน โคอาเตส
19ธงชาติของอังกฤษMFสจวร์ต ดาวนิง
21ธงชาติของบราซิลMFลูกัส เลย์วา
23ธงชาติของอังกฤษDFเจมี คาร์ราเกอร์ (C2)
24ธงชาติของเวลส์MFโจ อัลเลน
25ธงชาติของสเปนGKโคเซ มานวยล์ เรย์นา (C3)
29ธงชาติของอิตาลีFWฟาบีโอ โบรีนี
No.ตำแหน่งผู้เล่น
30ธงชาติของสเปนMFซูโซ
31ธงชาติของอังกฤษMFราฮีม สเตอริง
33ธงชาติของอังกฤษMFจอนโจ เชลวีย์
34ธงชาติของอังกฤษDFมาร์ติน เคลลี
35ธงชาติของอังกฤษDFคอนอร์ โคอาดี
36ธงชาติของเยอรมนีFWซาเหม็ด เยซิล
37ธงชาติของสโลวาเกียDFมาร์ติน ชเกอร์เตล
38ธงชาติของอังกฤษDFจอห์น ฟลานาแกน
40ธงชาติของฮังการีMFKrisztián Adorján
42ธงชาติของฮังการีGKเปแตร์ กูลัตชี
43ธงชาติของไอร์แลนด์เหนือDFไรอัน แม็คคาฟลิน
45ธงชาติของเยอรมนีDFสเตฟาน ซามา
47ธงชาติของอังกฤษDFอังเดร วิสดอม
48ธงชาติของอังกฤษFWเจอโรม ซินแคลร์
50ธงชาติของอังกฤษFWอดัม มอร์แกน
51ธงชาติของอังกฤษMFJordon Ibe
52ธงชาติของเวลส์GKแดนนี วอร์ด

[แก้]ผู้เล่นที่ถูกยืมตัว

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
No.ตำแหน่งผู้เล่น
22ธงชาติของสกอตแลนด์DFแดนนี วิลสัน (ไป ฮาร์ทส์ ออฟ มิดโลเธียน จนถึง 31 พฤษภาคม 2013)[14]
49ธงชาติของอังกฤษDFแจ็ก โรบินสัน (ไป วุลเวอร์แฮมป์ตันวันเดอเรอส์จนถึง 30 มิถุนายน 2013)[15]
ธงชาติของอังกฤษFWแอนดี คาร์โรลล์ (ไป เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จนจบฤดูกาล)
No.ตำแหน่งผู้เล่น
ธงชาติของสเปนFWดาเนียล ปาเชโก (ไป เอสดี ฮูเอสกา จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2013)[16]
ธงชาติของอังกฤษMFเจย์ สเพียริง (ไป โบลตันวันเดอเรอส์ จนถึงเดือนมกราคม 2013)

[แก้]บุคคลสำคัญในสโมสร

สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล และ แอธเลติก กราวน์ ลิมิตเต็ด[17]
สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
ผู้ฝึกสอนและทีมแพทย์[20]

[แก้]เกียรติประวัติ

เกียรติประวัติจำนวนปี
ฟุตบอลลีกดิวิชันหนึ่ง181900–011905–061921–221922–231946–471963–641965–661972–731975–761976–771978–79,1979–801981–821982–831983–841985–861987–881989–90
ฟุตบอลลีกดิวิชันสอง41893–941895–961904–051961–62
แลงคาไชร์ลีก11892–93
เอฟเอคัพ71965197419861989199220012006
ลีกคัพ819811982198319841995200120032012
เอฟเอชาริตีชิลด์/
เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์
151964*, 1965*, 1966197419761977*, 1979198019821986*, 198819891990*, 20012006 (* ร่วม)
ฟุตบอลลีกซุปเปอร์คัพ11986
ยูโรเปียนคัพ/
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
519771978198119842005
ยูฟ่าคัพ3197319762001
ยูฟ่าซูเปอร์คัพ3197720012005

[แก้]ชนะเลิศสองรายการและสามรายการ

ชนะเลิศสองรายการและสามรายการโดยสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
สองรายการและสามรายการ[note 1]จำนวนปี
ลีก และ เอฟเอคัพ11985–86
ลีก และ ลีกคัพ21981–821982–83
ยูโรเปียนดับเบิล (ลีก และ ยูโรเปียนคัพ)11976–77
ลีก และ ยูฟ่า คัพ21972–731975–76
ลีกคัพ และ ยูโรเปียนคัพ11980–81
ลีกลีกคัพ และ ยูโรเปียนคัพ11983–84
เอฟเอคัพลีกคัพ และ ยูฟ่า คัพ12000–01


th.wikipedia.org/wiki/สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล


บีเกิล


บีเกิล (อังกฤษBeagle) เป็นสายพันธุ์สุนัขมีถิ่นกำเนิดในประเทศสหราชอาณาจักร อยู่ในจำพวกกลุ่มสุนัขล่าเนื้อ(Hound) มีขนสั้นและหูปรก เป็นสุนัขที่มีประสาทด้านการดมกลิ่นเป็นเลิศ (scent hounds) ที่พัฒนาสายพันธ์ขึ้นมาครั้งแรก ด้วยจุดประสงค์เพื่อเป็นผู้ช่วยมนุษย์ ในกีฬาการล่าต่างๆ โดยเฉพาะการล่ากระต่าย ด้วยประสาทด้านการดมกลิ่นที่ไวมาก จึงได้มีการฝึกให้เป็นสุนัขตรวจสอบของผิดกฎหมาย อย่างเช่น ยาเสพติด วัตถุระเบิด ฯลฯ แต่บีเกิลยังได้รับความนิยมในฐานะสัตว์เลี้ยงเช่นกัน ด้วยขนาดตัวที่พอเหมาะ เป็นสุนัขอารมณ์ดี และสุขภาพแข็งแรงทนทานต่อโรค ด้วยคุณสมบัตินี้เอง บีเกิลยังถูกใช้ในงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์อีกด้วย
สุนัขสายพันธุ์บีเกิลมีมากว่า 2000 ปีแล้ว และมีชื่อเสียงมากในยุคของพระนางอลิซาเบท(Elizabethan era) ซึ่งปรากฏในงานวรรณกรรม จิตรกรรม ภาพยนตร์ โทรทัศน์ และหนังสือการ์ตูนเรื่องสนู๊ปปี้ (Snoopy) ก็เป็นบีเกิลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดตัวหนึ่งของโลก

พฤติกรรมทั่วไป

บีเกิลเป็นสุนัขที่สุภาพ พวกมันค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ดุร้ายเกินไปหรือเฉื่อยชาเกินไป ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม แม้ว่าจะพอใช้กันคนแปลกหน้าได้บ้าง แต่มันก็เชื่องคนง่ายเกินจึงไม่เหมาะที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน แต่ว่ามันยังคงเห่าหรือหอนบ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า
ในปี 1985 เบ็นและลิเน็ท ฮาท(Ben and Lynette Hart) ได้ทำการศึกษาบีเกิล พร้อมกับสุนัขพันธุ์อื่นๆอย่าง ยอคเชียร์ เทอเรีย(Yorkshire Terrier) เคนท์ เทอเรีย (Cairn Terrier)เวส ไฮด์แลนด์ ไวท์ เทอเรีย (West Highland White Terrier) ฟอกซ์ เทอเรีย(Fox Terrier)ผลออกมาว่าบีเกิลเป็นสุนัขที่ฉลาด และเป็นสายพันธุ์ที่ถูกพัฒนามาด้วยจุดประสงค์เดียว คือให้เป็นนักล่ามาเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝึกค่อนข้างยาก โดยทั่วไปเมื่อมันรับคำสั่งแล้ว จะสั่งยกเลิกได้ยาก และเมื่อมันจดจำกลิ่นหนึ่งได้ มักจะถูกกลิ่นอื่นรอบตัวเบี่ยงเบนความสนใจได้ง่าย พวกมันจะไม่ค่อยยอมรับคำสั่งทั่วๆไป แต่ก็มีการตอบสนองต่ออาหารที่ดี มีความตื่นตัวสูง ช่างประจบ ในทางกลับกันก็เป็นสุนัขที่เบื่อง่าย
บีเกิลเป็นสุนัขที่เหมาะกับเด็กๆ จึงเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันในครัวเรือน แต่ว่าพวกมันเป็นสุนัขที่อยู่เป็นฝูง เวลานำไปเลี้ยงจึงอาจเกิดอาการซึมเศร้าได้ ไม่ใช่บีเกิลทุกตัวที่จะหอน แต่ส่วนมากจะเห่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งบางตัวจะเห่าหรือหอน เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ บีเกิลยังเข้ากับสุนัขสายพันธุ์อื่นได้ง่าย พวกมันแข็งแรงมาก จึงวิ่งเล่นได้นานโดยที่ไม่เหนื่อยง่ายๆ


บีเกิลกับบทบาทคู่หูของมนุษย์


ภาพบีเกิล ล่ากระต่ายป่า
ในอดีตบีเกิลถูกพัฒนาสายพันธุ์เพื่อการล่าโดยเฉพาะ มันเป็นเหมือนคู่หูในฝันของนายพรานสูงวัย ที่จะอยู่บนหลังม้าแล้วคอยควบคุมบีเกิล ส่วนพรานหนุ่มหรือพรานที่ไม่มีเงินมากพอ จะซื้อม้าที่แข็งแรงสายพันธุ์ดีก็จะใช้ลูกม้าแทน ก่อนที่การล่าหมาป่าจะเป็นที่นิยมในช่วงศตวรรษที่ 19 การล่าถือเป็นกิจกรรมข้ามคืนที่ใช้เวลายาวนาน และเต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้นเร้าใจ พวกนายพรานจะสนุกกับการไล่ต้อนมากกว่าที่จะฆ่า ซึ่งบีเกิลจะเหมาะมากสำหรับหน้าที่นี้ ด้วยประสาทรับกลิ่นที่ยอดเยี่ยม กำลังกายที่เหลือเฟือ จึงเป็นเหมือนการการันตี ว่าบีเกิลสามารถไล่ล่าเป้าหมายได้จนกว่าจะเจอ การใช้ฝูงบีเกิลในการล่า เหมาะสำหรับการล่าที่ต้องใช้เวลานาน ส่วนในการล่าระยะสั้น บีเกิลจะทำหน้าที่คอยต้อนเป้าหมาย โดยเฉพาะในการล่ากระต่าย บีเกิลจะสนุกกับการไล่ล่าเป็นพิเศษ

ภาพบีเกิลกำลังตรวจสอบหาวัตถุต้องสงสัย ที่สนามบิน
ในยุคนั้นการล่าร่วมกับบีเกิลเป็นความใฝ่ฝันของคนหนุ่ม ในสหรัฐอเมริกาบีเกิลถูกเลือกเป็นสุนัขที่ใช้ในการ ล่ากระต่ายป่าเป็นสายพันธุ์ต้นๆ ก่อนที่จะมีการนำเข้าสายพันธุ์นี้จากต่างประเทศ การล่ากระต่ายป่ากับบีเกิล เป็นกีฬายอดนิยมในอังกฤษ ในช่วงกลางของศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งสก็อตแลนด์สั่งห้ามกีฬาประเภทนี้ในปี 2002 และอังกฤษกับเวลส์ก็ห้ามเช่นกันในปี 2004 (Hunting Act 2004) จากภายใต้กฎหมายนี้ บีเกิลยังสามารถทำหน้าที่ในการไล่กระต่ายป่า ที่ถือว่าสร้างความรำคาญได้อยู่ อย่างไรก็ดีกีฬาการไล่ล่าก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ โดยเปลี่ยนรูปแบบเป็นการไล่ต้อนโดยไม่เอาชีวิต ให้วิ่งไปมาอยู่ในเขตการล่า ถือเป็นกิจกรรมที่ให้สุนัขได้ออกกำลังกาย และพัฒนาทักษะ
ปัจจุบันบีเกิล ได้รับการเลือกเป็นหนึ่งในสุนัขดมกลิ่น ที่ใช้ตรวจสอบหาวัตถุต้องสงสัย ในงานด้านความมั่นคง และทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ (Beagle Brigade) บีเกิลกับบทบาทด้านความมั่นคงในการตรวจสอบตามสนามบิน ซึ่งในปีหนึ่งๆ สามารถช่วยเจ้าหน้าที่ตรวจพบวัตถุผิดกฎหมาย ได้ถึง 75000 รายการต่อปี อีกเหตุผลหนึ่งที่บีเกิลได้รับเลือกในหน้าที่นี้ เพราะว่าบีเกิลมีขนาดตัวที่ค่อนข้างเล็ก สามารถเข้าไปตรวจได้แม้กระทั่งคนที่ค่อนข้างกลัวสุนัข ดูแลง่าย ฉลาด และมันทำงานเต็มที่เพื่อรางวัล ซึ่งในหลายประเทศก็ได้มีการ ใช้งานบีเกิลในลักษณะนี้อย่างกว้างขวาง ส่วนสุนัขดมกลิ่นขนาดใหญ่ ก็จะใช้ในงานค้นหาวัตถุระเบิดโดยเฉพาะ และงานที่จำเป็นต้องปีนป่ายเพื่อเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งบีเกิลไม่ค่อยเหมาะกับหน้าที่ ลักษณะนั้น

สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว                                                                        






สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว (ชื่อเล่น: บี้) นักร้องและนักแสดงชาวไทย สังกัดเอ็กแซ็กท์ ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มีชื่อเสียงจากผลงานเพลง I Need Somebody[1] ปัจจุบันมีผลงานในวงการบันเทิง งานเพลง,ละครโทรทัศน์ละครเวที และ ซิตคอม ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในสิบผู้ทรงอิทธิพลร่วมกับบุคคลสำคัญในแวดวงการเมืองและสังคมของไทยประจำปี 2551 โดยนิตยสาร Positoning[2] และหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลวงการบันเทิงไทย จัดอันดับโดยหนังสือพิมพ์สยามรัฐ[2]
ความสำเร็จในวงการบันเทิง รางวัลที่ได้รับหลายปีติดต่อกัน อาทิ รางวัลขวัญใจมหาชน จาก ไนน์เอ็นเตอร์เทน อวอร์ดส์[3], นักร้องยอดเยี่ยม จาก ท็อปอวอร์ด, นักร้องยอดนิยม จาก ซี๊ด อวอร์ดส ด้านสื่อบันเทิงและโฆษณา อาทิ พรีเซ็นเตอร์แห่งปี จาก นิตยสาร Marketeer ปี 2008[4], พรีเซ็นเตอร์ชายยอดนิยม ปี 2009 จาก โอ้โหอวอร์ด, เจ้าพ่อปกแมกกาซีน ปี 2009[5] โดยบางกอกทูเดย์ เป็นต้น
ชื่อเสียงในต่างประเทศ โล่เกียรติคุณ อาทิ ทูตละครไทย จากสถานีโทรทัศน์อันฮุยทีวีของจีน[6], The Best Asian Artist จาก เอเชียนซองเฟสติวัล ปี 2010 รางวัลที่ได้รับ อาทิ นักแสดงนำชายจากละครทีวีต่างชาติดีเด่น[7] จาก China TV Drama Awards 2011 (จีน2011国剧盛典) ฉายาที่ได้รับในจีน Tai Yang Wang Zi[8] (จีน泰阳王子) หรือ Sun Prince of Thailand จากนิตยสาร Star New Generation (จีน明星新生代) เป็นต้น

ประวัติ

บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว [9]เกิดวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2528 ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุตรคนที่สอง มีพี่สาวชื่อ "แมลงปอ" ชื่อ "บี้" นั้นมาจากคำเมืองหรือภาษาท้องถิ่นของภาคเหนือว่า "กัมบี้" (แปลว่า แมลงปอ) เข้าศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย และเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ (สาขาวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์) [10]
ขณะศึกษาในระดับอุดมศึกษาเป็นประธานชั้นปีของภาควิชาวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ ได้รับเลือกเป็นตัวแทนในกิจกรรมต่างๆและเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แก่มหาวิทยาลัย [10] และได้รับเกียรติเป็นตัวแทนบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษา ถวายพวงมาลัยข้อพระกร แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2552 [11]

[แก้]เข้าสู่วงการบันเทิง

[แก้]ปี 2549-2550

ในปี พ.ศ. 2549 บี้ เข้าประกวดร้องเพลงในรายการ เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวปี 3 ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้าย ทำการแข่งขัน ณ สตูดิโอมูนสตาร์ลาดพร้าว ขณะแข่งขัน ได้รับฉายา เจ้าจิ้งจกน้อย แห่งเวทีเดอะสตาร์ และผ่านเข้ารอบสองคนสุดท้าย ทำการแข่งขัน ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ได้รับตำแหน่งรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1
ปลายปี พ.ศ. 2549 บี้ เริ่มต้นสร้างผลงานในวงการบันเทิงด้วยการรับบทพระเอกในละครเรื่อง “รอยอดีตแห่งรัก” แสดงคู่กับ พีรชยา พิณเมืองงาม[12] ได้รับโอกาสร้องเพลงประกอบละครเป็นครั้งแรก คือเพลง "ตัดใจไม่ไหว" ซึ่งเป็นเพลงในอัลบั้ม เลิฟ ซีน (Love Scenes) [13] มีซิงเกิลแรก คือเพลง "I Need Somebody" ขึ้นอันดับนิวเอนทรีตามชาร์ทวิทยุอย่างรวดเร็ว และครองอันดับ 1 ของซี๊ดเรดิโอชาร์ตนาน 4 สัปดาห์[14] ซิงเกิ้ลแรกนี้ได้รับรางวัลเพลงยอดนิยมสุดซี๊ดประจำปี จาก ซี๊ด อวอร์ดส 2007[14] รางวัล เพลงรักแห่งปี จาก อินยังเจเนอรชันชอยส์ อวอร์ดส 2006, รางวัลเพลงยอดนิยม จาก รางวัลสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส 2006 และเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์โฆษณาโฟโมสต์ ไฮไฟว์ ซึ่งออกอากาศในปี 2550
เดือนพฤศจิกายน เอเชี่ยน เทเลวิชั่น อวอร์ดส์ เชิญตัวแทนศิลปินไทย บี้ ร่วมงานประกาศรางวัลเอเชี่ยน เทเลวิชั่น อวอร์ดส์ 2006 และขึ้นโชว์เพลง “I Need Somebody” ที่ ซันเทค สิงคโปร์ อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเวนชั่น แอนด์ เอกซ์ซิบิชั่น เซ็นเตอร์[15]
ในปี พ.ศ. 2550 บี้ เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับนมถั่วเหลืองโฟร์โมสต์ โดยค่ายโฟร์โมสต์เลือกกลยุทธ์ใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นเจ้าแรกในตลาดสินค้านมถั่วเหลืองในขณะนั้น[16] ต่อมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ “โซนี่ ไซเบอร์ช็อต”ซึ่งเป็นครั้งแรกเช่นกันที่โซนี่เลือกใช้กลยุทธ์พรีเซ็นเตอร์[16] ในปีนี้มีเรื่องที่ 2 กับค่ายเอ็กแซ็กท์ คือ “หัวใจศิลา” คู่กับ พิชญา ศรีเทพย์[17] และในระหว่างถ่ายทำละครเรื่องนี้ทำให้บี้ได้รับโอกาสไปเรียนการแสดงเป็นครั้งแรก[18] กับหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล (หม่อมน้อย) หลังจากนั้นจึงได้รับโอกาส รับบท "ปกรณ์" ในละครเวทีเรื่อง บัลลังก์เมฆ เดอะมิวสิคัล กำกับการแสดงโดยถกลเกียรติ วีรวรรณ เจ้าของละครเวทีค่ายซีเนริโอ ซึ่งจัดแสดงในปีเดียวกัน

ปี 2551-2552

ในปี พ.ศ. 2551 เดือนมกราคม บี้ ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 2 ในชื่อ ไอเลิฟยูทู (I Love You Too) [19][20] และจัดมินิคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ มีเพลงที่ได้รับความนิยม เช่น “จังหวะหัวใจ”, “Someone”, “อยากถูกเรียกว่าแฟน” เป็นต้น[21]
กลางปี พ.ศ. 2551 บี้ เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับโทรศัพท์มือถือ “ไอ-โมบาย” โดยรุ่นที่เป็นพรีเซ็นเตอร์สามารถสร้างยอดได้ขายกว่า 1 ล้านเครื่อง [16]ในเดือนพฤษภาคม ค่ายจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ร่วมกับค่ายเอ็กแซ็กท์และซีเนริโอ จัดคอนเสิร์ตใหญ่ในชื่อ คอนเสิร์ต บี้ เลิฟแอตแทค (Bie Love Attack) ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ในเบื้องต้นมีแนวคิดว่าสถานที่จัดคอนเสิร์ตใหญ่เกินไป แต่ด้วยสาเหตุที่สถานที่อื่นซึ่งเล็กกว่าอิมแพคนั้นถูกจองหมดแล้วในช่วงเวลาที่ต้องการจัดคอนเสิร์ต ดังนั้นทีมงานจึงต้องเลือกจัดคอนเสิร์ตครั้งนี้ ณ สถานที่ดังกล่าว[22] บัตรคอนเสิร์ตในครั้งนี้จำหน่ายหมดภายในเวลาภาย 2 วัน จึงได้มีการเพิ่มรอบการแสดงคอนเสิร์ต เป็น 2 รอบ [23]แผ่นดินที่สมใหญ่
ในเดือนสิงหาคม บี้ กลับมาแสดงละครเวทีอีกครั้ง โดยรับบท นพพร ในละครเวทีเรื่อง ข้างหลังภาพ เดอะมิวสิคัล รับบทนำเป็นครั้งแรกคู่กับ สุธาสินี พุทธินันทน์[22] [24] ต่อมาได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า คลิก ไอ พร้อมกับออกอีเวนต์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ ในปีนี้ได้รับการจัดอันดับเป็น หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลวงการบันเทิงไทย ร่วมกับดาราศิลปินอื่น ๆ โดยหนังสือพิมพ์สยามรัฐ และเป็นหนึ่งใน ผู้ทรงอิทธิพลไทยประจำปี 2551 ร่วมกับบุคคลสำคัญของไทยในแวดวงต่างๆ โดยนิตยสาร Positoning[2]
ในปี พ.ศ. 2552 บี้ เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ ผลิตภัณฑ์หมากฝรั่งและลูกอม “คลอเร็ท”[25] และออกอัลบั้มที่สาม ในชื่อว่า ฮักบี้ (Hug Bie) [26] มีเพลงยอดนิยม เช่น มากมาย, ความทรงจำในลมหายใจ, Hug เป็นต้น โดยอัลบั้ม ฮักบี้ เป็นอัลบั้มที่มียอดดิจิตอลดาวโหลดสูงสุดของจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ในปีนั้น[27]
ในเดือนมิถุนายน งานละครข้ามค่ายเป็นครั้งแรกของบี้กับค่ายละครไท ของผู้จัดละครชื่อดัง ดา หทัยรัตน์ อมตวนิชย์ ทางช่อง 3 ในเรื่อง “พระจันทร์สีรุ้ง” คู่กับ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ ร่วมด้วย พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง และ จินตหรา สุขพัฒน์ [28] ต่อมา จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ร่วมกับค่ายเอ็กแซ็กท์และซีเนริโอ จัดคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่สอง บี้ เลิฟมากมาย (Bie Love มากมาย) ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เปิดการแสดง 2 รอบเต็ม ในปีนี้ได้รับรางวัลสำคัญ ได้แก่“รางวัลลูกกตัญญู” โดยสภาสังคมสงเคราะห์ฯในพระบรมราชูปถัมภ์ เนื่องในวันแม่แห่งชาติ “รางวัลเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ” โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ เป็นต้น [29] และ “รางวัลขวัญใจมหาชน” จาก รางวัลไนน์เอ็นเตอร์เทน อวอร์ดส์ ครั้งที่ 2เป็นปีแรก

[แก้]ปี 2553 - ปัจจุบัน


สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว ประชาสัมพันธ์อัลบั้ม ณ บัด NOW ที่เวรี่ ทีวี
ในปี พ.ศ. 2553 บี้ มีผลงานเพลง ในชื่อมินิอัลบั้ม อิทส ออลไรท์ (อังกฤษIt's Alright) ออกเป็นมินิอัลบั้มจำนวน 3 เพลง มีเพลงดังอย่าง "เพลงรัก" ซึ่งเป็นเพลงที่ติดอันดับ 1 จากซี๊ดชาร์ต 5 สัปดาห์ และติดอันดับ Top Download ของแกรมมี่นานสองเดือนติดต่อกัน ในปีนี้มีผลงานทางด้านการแสดงละครโทรทัศน์แนวโรแมนติกคอมาดี้เรื่อง “ดอกรักริมทาง” โดยค่ายเอ็กแซ็กท์ คู่กับ วรรณรท สนธิไชย และทัวร์คอนเสิร์ตเป็นเวลา 3 เดือนโดยผู้สนับสนุนจาก ยำยำ ที่รับเป็นพรีเซ็นเตอร์
รางวัลสำคัญที่ได้รับในปีนี้ได้แก่ “ขวัญใจมหาชน” จากงาน รางวัลไนน์เอ็นเตอร์เทน อวอร์ดส์ ครั้งที่ 3 “นักร้องยอดเยี่ยม” จาก ท็อปอวอร์ด 2009 เป็นปีที่ 2, “สตาร์ป็อปปูลาร์โหวต” จาก สยามดาราสตาร์อวอร์ด 2010 (อังกฤษSiam Dara Stars Awards 2010“นักร้องชายยอดนิยม” จาก รางวัลสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส ครั้งที่ 8 (อังกฤษStar Entertainment Awards 2009), “ศิลปินยอดนิยมสุดซี้ดประจำปี” จาก ซี๊ด อวอร์ดส์ 2010 (อังกฤษSeed Awards 2010)
เดือนกรกฎาคม บี้ เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดอินทาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีดาราและศิลปินมาร่วมอนุโมทนาบุญอย่างคับคั่ง นำโดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ และนักแสดงจากค่ายเอ็กแซ็กท์ และได้รับฉายาว่า “ฐิตรตโน” แปลว่า ผู้มีรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง ศึกษาพระธรรมเป็นเวลา 10 วัน โดยจำวัดที่วัดอินทาราม 2 คืน และเดินทางไปธุดงค์ต่างจังหวัด และลาสิขาบทเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 [30]
ในเดือนตุลาคม บี้ เป็นตัวแทนศิลปินไทย เข้าร่วมงาน คอนเสิร์ต Asia Song Festival เข้าร่วมงานภายใต้ชื่อ '2010 Asia Song Festival, Let's go G20 Concert' ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 7 โดยในปีนี้เป็นการร่วมฉลองการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม G20 ณ กรุงโซล โดย UNICEF และ KOFICE ผู้จัดงาน [31]ในปีนี้มีศิลปินระดับแนวหน้าแต่ละประเทศเข้าร่วม เช่น เรนโบอา เป็นต้น จัดขึ้น ณ สนามกีฬาโอลิมปิคจัมชิล กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553[32] และได้รับโล่เกียรติคุณ The Best Asian Artist Award เป็นที่ระลึกภายในงาน[33]
ในปี พ.ศ. 2554 บี้ ได้ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 4 ในชื่อ รักนะคะ มีเพลงที่ได้รับความนิยม เช่น รักนะคะ, Look Like Love เป็นต้น และ แสดงละครเรื่อง ข้ามเวลาหารัก ในเดือนกรกฎาคม ค่ายจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ร่วมกับค่ายเอ็กแซ็กท์และซีเนริโอ จัดคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่สาม ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ในชื่อคอนเสิร์ตว่า บี้ เลิฟไม่กลัว กลัวไม่เลิฟ (Bie Love ไม่กลัว กลัวไม่ Love) เปิดขายบัตรหนึ่งเดือนก่อนวันแสดง เปิดจำหน่ายบัตรในวันที่ 26 พฤษภาคม 2554[34] การจองบัตรครั้งนี้ทำลายสถิติการจัดคอนเสิร์ตที่ผ่านมาทั้งสองครั้ง โดยไม่ถึง 3 ชั่วโมงของการเปิดขายบัตร[35] และเพิ่มรอบสองในเวลา 16 นาฬิกาของวันเดียวกัน[36] ต่อมามีการเพิ่มรอบที่สามในสัปดาห์ต่อมา[37] โดยคอนเสิร์ตครั้งนี้จัดแสดงในวันที่ 8-9-10 กรกฎาคม 2554 [38][39]
ในปี พ.ศ. 2555 “บี้” มีผลงานเพลง ในชื่อมินิอัลบั้ม ณ บัด NOW และ ละครเวที รัก/จับ/ใจ เดอะโรแมนติกมิวสิคัล และ บี้ ยังได้รับแสดงละครเรื่องคู่กรรม รับบทเป็น โกโบริ บวงสรวงไปเมื่อเดือนกันยายนปี 2555 ออกอากาศปี 2556

[แก้]ชื่อเสียงในต่างประเทศ

บี้ มีผลงานละครออนแอร์ในประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และ มาเก๊า[40] เริ่มต้นมีชื่อเสียงในประเทศจีน จากผลงานละครโทรทัศน์ รอยอดีตแห่งรัก ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ CCTV8 ได้อันดับเรตติ้งละครต่างประเทศยอดนิยมอันดับสองในปี 2553[41] มีผลงานละครโทรทัศน์ที่ออกอากาศต่อมา เช่น หัวใจศิลา และ ดอกรักริมทาง จากผลงานละครที่ได้รับความนิยมจึงได้รับเลือกเป็น ทูตละครไทย[6] ของสถานีโทรทัศน์ อันฮุยทีวี ในปี 2554

[แก้]การเข้าสู่ตลาดบันเทิงของจีน

ปี 2553 รอยอดีตแห่งรัก ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์กลางของจีนช่อง CCTV8 ในเดือนพฤษภาคม และรีรันการออกอากาศทาง CCTV8 กว่า 4 ครั้งในเวลา 6 เดือน[42] และออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ CCTV1 ของจีนในปลายปี 2553 ละครเรื่องนี้ได้รับการจัดอันดับ เป็นละครที่มีเรตติ้งสูงเป็นอันดับสองจากละครต่างประเทศทั้งหมดที่ฉายทาง CCTV8 ในปีนั้น[43]
ปี 2554 เดือนกุมภาพันธ์ ดอกรักริมทาง ได้รับการออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์อันฮุยของจีน ละครเรื่องนี้ได้รับเรตติ้งสูงเป็นอันดับที่ 2 รองจากละครจีนที่ฉายในช่วงเวลาเดียวกัน[44] และเป็นซี่รี่ส์ต่างประเทศที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ ในเว็บไซต์ PPS ของจีน[45]
บี้ เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการครั้งแรก ณ กรุงปักกิ่ง ในวันที่ 7-11 เมษายน 2554 ซึ่งสถานีอัน ฮุย เว่ย ซื่อ และบริษัท Artop International Media เชิญให้เข้าร่วมกิจกรรมมีทแอนด์กรี๊ดกับแฟนคลับและแฟนละคร ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนกว่า 50 แห่งของประเทศจีน[46]

[แก้]การเข้าร่วมงานในต่างประเทศ

ปี 2006 บี้ และ เอ็กแซ็กท์-ซีเนริโอ เข้าร่วมงาน เอเชี่ยน เทเลวิชั่น อวอร์ดส์ (Asian Television Award) ประเทศสิงคโปร์ โชว์เพลง “I Need Somebody” ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2549 ณ ซันเทคสิงคโปร์ อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเวนชั่น แอนด์ เอกซ์ซิบิชั่น เซ็นเตอร์[47]
ปี 2010 เป็นตัวแทนศิลปินไทย เข้าร่วมงาน จี20 เอเชีย ซอง เฟสติวัล (2010 Asia Song Festival Let's Go G20 Concert) ณ กรุงโซลประเทศเกาหลีใต้ สนามกีฬาโอลิมปิคจัมชิล ขึ้นโชว์เพลง จังหวะหัวใจ ฮัก มากมาย และรับรางวัล The Best Asian Artist Award[48]
ปี 2011 เข้าร่วมงาน เทศกาลละครทีวีนานาชาติ และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 6 - 10 มิถุนายน 2554 ขึ้นโชว์เพลง จังหวะหัวใจ[49]
ปี 2011 เข้าร่วม งานประกาศรางวัล อันฮุย ทีวี ดรามา อวอร์ดส (Anhui TV Drama Awards) ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นโชว์เพลง เผลอรักหมดใจ เวอร์ชันไทย-จีน และรับรางวัลพระเอกละครต่างประเทศยอดนิยม[50] The Best Foreign Drama Of The Year 2011 จาก ดอกรักริมทาง








โดราเอมอน




โดราเอมอน (ญี่ปุ่นドラえもん Dora'emon โดะระเอะมง ?) หรือ โดเรมอน เป็น การ์ตูนญี่ปุ่น แต่งโดย ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ เรื่องราวของหุ่นยนต์แมวหูด้วน ชื่อ โดราเอมอน โดยฟูจิโกะ ฟูจิโอะ ได้กล่าวว่าโดราเอมอนเกิดวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 2112 (พ.ศ. 2655) มาจากอนาคตเพื่อกลับมาช่วยเหลือโนบิตะ เด็กประถมจอมขี้เกียจด้วยของวิเศษจากอนาคต โดราเอมอนเริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2513 โดยสำนักพิมพ์โชงะกุกัง[3][4] โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 1,344 ตอน[5] ต่อมาในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2540 โดราเอมอนได้รับรางวัล Tezuka Osamu Cultural Prize ครั้งที่ 1 ในสาขาการ์ตูนดีเด่น[6] อีกทั้งยังได้รับเลือกจากนิตยสารไทม์เอเชีย ให้เป็นหนึ่งในวีรบุรุษของทวีปเอเชีย จากประเทศญี่ปุ่น[7] จากนั้นในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551 โดราเอมอนก็ได้รับเลือกให้เป็นทูตสันถวไมตรีเพื่อการประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น[8]นอกจากนี้บริษัทบันได ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าการ์ตูนที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ยังได้ผลิตหุ่นยนต์โดราเอมอนของจริงขึ้นมาในชื่อว่า "My โดราเอมอน" โดยออกวางจำหน่ายครั้งแรกในวันที่ 3 กันยายนพ.ศ. 2552[9]
ในประเทศไทย โดราเอมอนฉบับหนังสือการ์ตูนมีการตีพิมพ์โดยหลายสำนักพิมพ์ในช่วงก่อนที่จะมีลิขสิทธิ์การ์ตูน[10][11] แต่ปัจจุบัน สำนักพิมพ์เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการจัดพิมพ์แต่เพียงผู้เดียว ส่วนฉบับอะนิเมะ ออกอากาศทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. หรือโมเดิร์นไนน์ทีวีในปัจจุบัน และวางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดี-ดีวีดี ลิขสิทธิ์โดยบริษัทโรส วิดีโอ

ประวัติ

การ์ตูนโดราเอมอน ได้รับแรงบันดาลใจเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) เนื่องจากนักวาดการ์ตูนทั้ง 2 ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ ได้ลงโฆษณาการ์ตูนเรื่องใหม่ของเขาทั้งสองไว้ว่าจะมีตัวเอกที่ออกมาจากลิ้นชัก ในนิตยสารการ์ตูนฉบับต้อนรับปีใหม่ ที่จะมาแทนการ์ตูน เจ้าชายจอมเปิ่น[4] แต่ในความจริงแล้วทั้งสองยังไม่มีไอเดียเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องนี้แม้แต่น้อยเลย เมื่อใกล้ถึงเวลาส่งต้นฉบับก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับทั้งสองเป็นอย่างมาก
ฮิโรชิ ฟุจิโมโตะ หนึ่งในนักวาดการ์ตูน ได้เผอิญเห็นแมวจรจัดที่มักแอบเข้ามาเล่นที่บ้านของตนเองเป็นประจำ เขามักจะชอบจับแมวตัวนี้มาหาหมัด จนเวลาล่วงเลยมาถึง 4.00 น. ก็ยังไม่มีไอเดียเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องใหม่ ทำให้ฮิโรชิโมโหตัวเองเป็นอย่างมาก และคิดเลยเถิดไปว่าโลกนี้น่าจะมีไทม์แมชชีน เพื่อย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต หลังจากนั้นฮิโรชิได้เผลอหลับไปด้วยความอ่อนล้า เมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทำให้เขาตกใจว่าตนเองเผลอหลับไป จึงรีบวิ่งลงจากบันไดบ้านไปสะดุดกับตุ๊กตาล้มลุกญี่ปุ่นของลูกสาวที่ตกอยู่บนพื้น[4]
เหตุนี้เองทำให้ฮิโรชิเกิดไอเดียขึ้นโดยนำหน้าแมวจรจัดมาผสมกับตุ๊กตาญี่ปุ่น สร้างออกมาเป็นตัวละครหุ่นยนต์แมวจากอนาคตคอยช่วยเหลือเด็กชายที่แสนจะไม่ได้เรื่อง และตั้งชื่อว่า โดราเอมอน เป็นคำผสมระหว่าง "โดราเนโกะ" กับ "เอมอน" ในภาษาญี่ปุ่น โดราเนโกะนั้นแปลว่าแมวหลงทาง ส่วนคำว่า "เอมอน" เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อของเด็กชายในสมัยก่อนของประเทศญี่ปุ่น และได้เปิดตัวในปีเดียวกัน เริ่มตีพิมพ์ในนิตรยสารโยะอิโกะ, นิตรยสารโยชิเอ็ง และนิตยสารเพื่อการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 1 - 4 (เดือนมกราคม ค.ศ. 1970)[4]
การ์ตูนโดราเอมอน ลงตีพิมพ์พร้อมกันในนิตยสาร 6 ฉบับคือ นิตรยสารโยะอิโกะ, นิตรยสารโยชิเอ็ง, นิตรยสารโชงะกุอิชิเน็นเซ (นิตยสารเพื่อการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 1), นิตรยสารโชงะกุนิเน็นเซ (นิตยสารเพื่อการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 2), นิตยสารโชงะกุซังเน็นเซ(นิตยสารเพื่อการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 3) และนิตยสารโชงะกุโยเน็นเซ โดยมีทั้งหมด 1,344 ตอน[13] โดยเขียนให้เหมาะกับผู้อ่านแต่ละระดับอายุ ซึ่งการ์ตูนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก[4]
และในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2540 โดราเอมอนได้รับ รางวัลเท็ตซึกะ โอซามุ เป็นการ์ตูนดีเด่น[4][13]

[แก้]โครงเรื่อง

เนื้อเรื่องส่วนมากจะเกี่ยวกับปัญหาของโนบิตะเด็กชายชั้น ป.4 ที่มักถูกเพื่อนๆ แกล้ง (แต่บ่อยครั้งก็เป็นฝ่ายหาเรื่องใส่ตัวเอง) ไม่ค่อยชอบทำการบ้าน, อ่านหนังสือ และไปโรงเรียนสายบ่อย ๆ โดยมีเพื่อนที่เป็นตัวละครสำคัญในเรื่องคือโดราเอมอน (โนบิตะทำอะไรไม่ค่อยเป็น ต้องพึ่งโดราเอม่อนแทบทุกอย่าง) หุ่นยนต์แมวจากอนาคตที่คอยดูแลช่วยเหลือโนบิตะตลอดเวลาด้วยของวิเศษจากอนาคต ไจแอนท์เด็กที่ดูเป็นอันธพาล แต่ที่จริงเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวและรักการร้องเพลง ซูเนโอะผู้มีฐานะทางบ้านดีที่สุดในกลุ่ม มีนิสัยชอบคุยโม้ เป็นคู่หูกับไจแอนท์ที่คอยกลั่นแกล้งโนบิตะอยู่ตลอด เดคิสุงิ เป็นเด็กเรียนเก่ง นิสัยดี รักความถูกต้อง มีน้ำใจ แต่ไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก ชิซุกะผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มเป็นเด็กเรียนดีชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นเด็กสาวที่โนบิตะหลงรัก ในอนาคตก็ได้มาเป็นเจ้าสาวของโนบิตะด้วย ไจโกะน้องสาวของใจแอนท์ไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก ตัวละครสำคัญนอกจากนี้ก็มีโดเรมี หุ่นยนต์แมวที่มีกระเป๋ามิติที่ 4 และของวิเศษ (แต่จะออกน่ารักๆ ดูเป็นแบบผู้หญิงมากกว่า) เช่นเดียวกับโดราเอมอนผู้เป็นพี่ชาย และคุณพ่อและแม่ของโนบิตะ ซึ่งแม่ดูจะมีบทบาทในเรื่องมากกว่าพ่อ
แม้ว่าโนบิตะ ไจแอนท์ ซูเนโอะ และคนอื่นจะดูเหมือนมีปัญหากันบ่อยแต่ลึกแล้วก็รักและช่วยเหลือกันดี จะเห็นได้จากตอนพิเศษต่างๆ ที่เด็กกลุ่มนี้ต้องออกไปผจญภัย (บางทีก็นอกโลก ใต้ทะเล หรือว่ายุคไดโนเสาร์)

[แก้]รายชื่อตัวละคร

ดูตัวละครทั้งหมดที่ ตัวละครในโดราเอมอน
ในการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน เป็นเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนในวัยเด็ก 4 คน และมีหุ่นยนต์แมวจากอนาคตเป็นตัวละครหลักดังนี้
โดราเอมอน
Doraemon former.jpg
หุ่นยนต์แมวจากอนาคตกลับมาช่วยเหลือโนบิตะ โดยเซวาชิผู้เป็นเหลนของโนบิตะเป็นผู้ส่งมา กลัวหนูมาก เพราะเคยโดนหนูแทะหูจนต้องตัดหูทิ้ง ชอบกินโดรายากิเนื่องจากตอนที่อยู่โลกอนาคตยังไม่มาหาโนบิตะโดราเอมอนได้รับโดรายากิกับแมวผู้หญิงตัวนึงซึ่งน่ารักมากโดราเอมอนจึงชอบเป็นพิเศษ จะมีอารมณ์โกรธทันทีเมื่อมีใครเรียกเขาว่า "แรคคูน" หรือ "ทานุกิ" (พากย์เสียงภาษาไทยโดย ฉันทนา ธาราจันทร์[14])
โนบิ โนบิตะ
Ch-nobita.gif
เด็กชายที่ไม่เอาไหน ทั้งเรื่องการเรียน กีฬา นิสัยขี้เกียจ และชอบนอนกลางวัน สอบก็ได้ 0 คะแนนทุกครั้ง แต่ก็มีความสามารถด้านยิงปืนและพันด้ายและเป็นคนมีน้ำใจ ชอบชิซุกะมานาน และมักถูกไจแอนท์กับซึเนะโอะแกล้งประจำ แต่ก็เปลี่ยนเป็นคนละคนเมื่อโดราเอมอนไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว จะมีอารมณ์ไม่พอใจเมื่อเดคิสุงิอยู่ใกล้กับซิซุกะ เพราะคิดว่าซิซุกะแอบชอบเดคิสุงิ แต่ถึงอย่างไรตอนอนาคตก็ได้แต่งงานกับโนบิตะอยู่ดี (พากย์เสียงภาษาไทยโดย ศันสนีย์ วัฒนานุกูล[15])
มินาโมโต้ ชิซุกะ
Ch-shizuka.gif
เด็กสาวน้ำใจดี เป็นที่รักของทุกคน ชอบการอาบน้ำเป็นอย่างมากและชอบเล่นเปียโน เป็นเด็กสาวที่โนบิตะแอบชอบ และชอบกินสปาเก็ตตี้และมันเผาเป็นพิเศษ อนาคตเธอก็ได้แต่งงานกับโนบิตะ (พากย์เสียงภาษาไทยโดย ศรีอาภา เรือนนาค[16])
โฮเนคาวะ ซึเนะโอะ
Pirun.gif
เด็กขี้อวดประจำโรงเรียน ฐานะดี และเป็นเพื่อนซี้กับไจแอนท์ ผู้มีฐานะทางบ้านดีที่สุดในกลุ่ม มีนิสัยชอบคุยโม้ ชอบพูดยกยอ และขี้ประจบ ชอบเอาของมาอวดให้พวกๆอิจฉาแต่ก็พร้อมที่จะเจออันตรายกับพวกเพื่อนๆได้ในตอนที่เป็นภาพยนตร์ มักจะวางแผนกับไจแอนท์เพื่อแกล้งโนบิตะ (พากย์เสียงภาษาไทยโดย อรุณี นันทิวาส[17])
ไจแอนท์ (โกดะ ทาเคชิ)
Ch-gian.gif
เด็กอ้วน หัวโจกประจำกลุ่ม ชอบแกล้งโนบิตะเป็นประจำ แต่ก็มีหลายครั้งที่แสดงความผูกพันกับโนบิตะ (อยากขอร้องให้ช่วย) ฝันอยากจะเป็นนักร้องแต่เสียงไม่เอาไหน แต่บางครั้งเสียงไม่เอาไหนของเขาก็ช่วยทำให้สถานการณ์ที่คับขันให้คลี่คลายได้ เพราะคงไม่มีใครคนไหนที่สามารถทนเสียงของเขาได้ และเป็นคนที่รักเพื่อนพ้องมาก (พากย์เสียงภาษาไทยโดย นิรันดร์ บุญยรัตพันธุ์[18])
โดเรมี
Ch-doremi.gif
หุ่นยนต์แมวจากอนาคต เป็นน้องสาวของโดราเอมอนสวยน่ารัก แต่ประสิทธิภาพสูงกว่าโดราเอมอนทุกด้านเช่น ความรู้ วิธีใช้ของวิเศษ อาศัยอยู่ที่โลกศตวรรษที่ 22 ไม่ค่อยปรากฏตัวให้พบเห็น จะปรากฏตัวเมื่อโดราเอมอนเรียกขอความช่วยเหลือ หรือ สถานการณ์ที่โดราเอมอนไม่สามารถควบคุมได้ บางครั้งก็มาช่วยเหลือโนบิตะตอนที่โดราเอมอนไม่อยู่ (พากย์เสียงภาษาไทยโดย อรุณี นันทิวาส)
โดเรมีได้ปรากฏตัวใน โดราเอมอนฉบับภาพยนตร์ รวมแล้วทั้งหมดเพียง 6 ตอน

[แก้]รายชื่อตอนโดราเอมอนฉบับภาพยนตร์ และโดราเอมอนตอนพิเศษ

ดูบทความหลักที่ โดราเอมอนฉบับภาพยนตร์
โดราเอมอนฉบับภาพยนตร์ เป็นอะนิเมะตอนพิเศษ ซึ่งมีการจัดทำขึ้นเป็นภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาว และหนังสือการ์ตูน[19] โดยปี ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) ในเดือนเมษายน[4] เป็นปีแรกที่มีการสร้างฉบับภาพยนตร์ชื่อตอนว่า ตะลุยแดนไดโนเสาร์[20] และมีการสร้างตอนพิเศษเรื่อยมาทุกปี[21] ทั้งนี้ในปีพ.ศ. 2548 เป็นปีครบรอบ 25 ปีของการฉายโดราเอมอนฉบับภาพยนตร์ นอกจากนั้นยังมีการสร้างภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ออกมาเป็นตอนพิเศษอีกด้วย โดยมีวีซีดีออกมาครบแล้ว 30 แผ่น 30 ตอน[22] และมีการนำตอนเก่ามาสร้างใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา
ลำดับชื่อเรื่องภาษาไทยปีที่ออกฉายฉากสำคัญของเรื่อง / หมายเหตุ
1ไดโนเสาร์ของโนบิตะค.ศ. 1980ไดโนเสาร์ในยุคครีเทเชียส
2ตะลุยจักรวาล (โนบิตะนักบุกเบิกอวกาศ)ค.ศ. 1981ใต้เสื่อของห้องโนบิตะเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างมิติ
3บุกแดนมหัศจรรย์ค.ศ. 1982อาณาจักรสุนัขในดินแดนลึกลับแอฟริกากลาง
4ผจญภัยใต้สมุทรค.ศ. 1983ผจญภัยใต้มหาสมุทรแปซิฟิก
5ตะลุยแดนปีศาจ (โนบิตะท่องแดนเวทมนตร์)ค.ศ. 1984โลกเวทมนตร์ที่เกิดจากรูปปั้น
6สงครามอวกาศค.ศ. 1985การผจญภัยในอวกาศ เพื่อช่วยประธานาธิบดี วัยเยาว์
7สงครามหุ่นเหล็ก (ผจญกองทัพมนุษย์เหล็ก)ค.ศ. 1986การผจญภัยกับหุ่นยนต์ยักษ์ในโลกกระจก
8บุกแดนใต้พิภพ (เผชิญอัศวินมังกร)ค.ศ. 1987โลกใต้พิภพที่ไดโนเสาร์ที่พัฒนาแล้วอาศัยอยู่
9ท่องแดนเทพนิยายไซอิ๋วค.ศ. 1988ภาพยนตร์ชุดนี้ไม่ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือการ์ตูน ใช้โครงเรื่องที่ผู้เขียนวางไว้[4]
10ท่องแดนญี่ปุ่นโบราณ (กำเนิดประเทศญี่ปุ่น)ค.ศ. 1989ประเทศญี่ปุ่นที่มนุษย์โบราณชาวจีนอาศัยอยู่เมื่อ 7 หมื่นปีก่อน
11ตะลุยดาวต่างมิติ (โนบิตะตะลุยอาณาจักรดาวสัตว์)ค.ศ. 1990ดาวสัตว์ที่เชื่อมต่อระหว่างมิติด้วยหมอกสีชมพู
12ตะลุยแดนอาหรับราตรีค.ศ. 1991การผจญภัยของดาบและเวทมนตร์ในโลกนิทานอาหรับราตรี
13บุกอาณาจักรเมฆค.ศ. 1992โลกของมนุษย์และสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วบนก้อนเมฆ
14ฝ่าแดนเขาวงกต (ความลับของหุ่นกระป๋อง)ค.ศ. 1993โลกของเล่นที่เครื่องจักรควบคุมมนุษย์
15สามอัศวินในจินตนาการค.ศ. 1994การผจญภัยในโลกของความฝัน
16ตำนานการสร้างโลก (บันทึกการสร้างโลก)ค.ศ. 1995มนุษย์แมลงที่กำเนิดขึ้นในโลกของโนบิตะที่สร้างจากชุดสร้างโลก
17ผจญภัยสายกาแล็คซี่ (รถด่วนสายทางช้างเผือก)ค.ศ. 1996การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ในอวกาศด้วยรถไฟอากาศปริศนา
18ผจญภัยเมืองในฝัน (ตะลุยเมืองตุ๊กตาไขลาน)ค.ศ. 1997เมืองของเล่นมีชีวิตที่กำเนิดขึ้นบนดาวเคราะห์น้อย
19ผจญภัยเกาะมหาสมบัติ (ผจญภัยทะเลใต้)ค.ศ. 1998ผจญภัยหาสมบัติในหมู่เกาะทะเลใต้ ยุคศตวรรษที่ 17[4]
20ตะลุยอวกาศค.ศ. 1999การตะลุยอวกาศเพื่อตามไจแอนท์และซึเนะโอะกลับโลก[4]
21ตำนานสุริยกษัตริย์ค.ศ. 2000ดินแดนยุคอารยธรรมมายาและเวทมนตร์
22โนบิตะและอัศวินแดนวิหคค.ศ. 2001การผจญภัยในดินแดนมนุษย์วิหค
23โนบิตะ ตะลุยอาณาจักรหุ่นยนต์ค.ศ. 2002กองทัพหุ่นยนต์ จากยุค ศตวรรษที่ 22
24โนบิตะ ผจญภัยดินแดนแห่งสายลมค.ศ. 2003ไข่ลูกพายุไต้ฝุ่น และดินแดนแห่งสายลม
25โนบิตะ ท่องอาณาจักรโฮ่งเหมียวค.ศ. 2004ดินแดนแห่งหมาและแมวที่โนบิตะได้พัฒนาพวกเขาขึ้นมา
26ไดโนเสาร์ของโนบิตะค.ศ. 2006นำกลับมาสร้างใหม่อีกครั้ง จากเรื่อง ผจญภัยไดโนเสาร์
27โนบิตะ ตะลุยแดนปีศาจกับ 7 ผู้วิเศษค.ศ. 2007นำกลับมาสร้างใหม่อีกครั้ง จากเรื่อง ตะลุยแดนปีศาจ (โนบิตะท่องแดนเวทมนตร์)
28โนบิตะตำนานยักษ์พฤษาค.ศ. 2008ดินแดนแห่งต้นไม้และป่าไม้
29โนบิตะนักบุกเบิกอวกาศค.ศ. 2009นำกลับมาสร้างใหม่อีกครั้ง จากเรื่อง ตะลุยจักรวาล (โนบิตะนักบุกเบิกอวกาศ)
30สงครามเงือกใต้สมุทรค.ศ. 2010การผจญภัยในโลกใต้ทะเล
31โนบิตะ ผจญกองทัพมนุษย์เหล็ก - ปีกแห่งนางฟ้าค.ศ. 2011นำกลับมาสร้างใหม่อีกครั้ง จากเรื่อง สงครามหุ่นเหล็ก (ผจญกองทัพมนุษย์เหล็ก)
32โนบิตะผจญภัยในเกาะมหัศจรรย์ - แอนิมอลแอดเวนเจอร์ค.ศ. 2012เกาะที่มีสัตว์หายากและสัตว์สูญพันธุ์อาศัยบนเกาะ
33พิพิธภัณฑ์ของวิเศษของโนบิตะ - มิวเซี่ยมแอดเวนเจอร์ค.ศ. 2013พิพิธภัณฑ์ของวิเศษในโลกอนาคต

[แก้]โดราเอมอนกับประเทศไทย[23]


หนังสือการ์ตูนโดราเอมอน ที่มีการตีพิมพ์ในไทย ชุดพิเศษ เล่ม 7

ด้านหลังแฮนด์บิลภาพยนตร์โดเรม่อน ตอนผจญไดโนเสาร์
การ์ตูนโดราเอมอนฉบับหนังสือการ์ตูนภาษาไทย สร้างปรากฏการณ์เป็นที่กล่าวถึงในวงการการ์ตูนเป็นอย่างมาก เริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในช่วงกลางปีพ.ศ. 2524 โดยสำนักพิมพ์ธิดาน้อย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของสำนักพิมพ์มิตรไมตรีโดยตั้งชื่อการ์ตูนเรื่องนี้ว่า "โดราเอมอน แมวจอมยุ่ง" แปลเป็นภาษาไทยโดย อนุสรณ์ สถิรวัฒน์ ต่อมาสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจก็ได้มีการตีพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้เช่นกัน แต่เลือกใช้ชื่อว่า "โดเรมอน" เพื่อไม่ให้ซ้ำกับทางสำนักพิมพ์แรก ในสมัยนั้นยังเป็นช่วงของหนังสือการ์ตูนที่ยังไม่มีการซื้อลิขสิทธิ์ถูกต้องจากทางญี่ปุ่น ทั้ง 2 สำนักพิมพ์จึงไม่ได้พิมพ์ตอนตามลำดับของต้นฉบับทำให้มีการลงตอนซ้ำกัน โดราเอมอนได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้ง 2 สำนักพิมพ์จึงแข่งกันทางด้านความถี่ของการออกจัดจำหน่าย จากเดือนละเล่มในช่วงต้น ก็เปลี่ยนเป็นเดือนละ 2 เล่ม จนถึงอาทิตย์ละเล่ม สุดท้ายทางสำนักพิมพ์ธิดาน้อย ก็พิมพ์ถึงเดือนละ 3 เล่ม พิมพ์ไม่น้อยกว่า 70,000 เล่มต่อครั้ง ด้วยความถี่ในการพิมพ์ และการไม่มีการจัดลำดับถูกต้องตามต้นฉบับ ทำให้ในเวลาเพียง 7-8 เดือนการ์ตูนเรื่องนี้ก็ตีพิมพ์ครบทุกตอนตามต้นฉบับของฟูจิโกะ ฟูจิโอะที่ใช้เวลาเขียนติดต่อกันร่วม 10 ปี
หลังจากนั้น หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้เห็นความนิยมของโดราเอมอน จึงได้มีการตีพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้ลงเป็นตอนๆ ในแต่ละวันโดยเริ่มวันแรกวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2525 ถือได้ว่าเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องแรกที่มีการตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ เนื่องจากต้องการไม่ให้ชื่อซ้ำกับทาง 2 สำนักพิมพ์แรก ไทยรัฐจึงได้ตั้งชื่อใหม่อีกเป็น "โดรามอน เจ้าแมวจอมยุ่ง" ด้วยเหตุนี้เองทำให้คนไทยเรียกชื่อ โดราเอมอน ต่างกันหลายชื่อ
สำนักพิมพ์สุดท้ายที่ตีพิมพ์โดราเอมอนฉบับหนังสือการ์ตูนในยุคนั้นคือ สยามสปอร์ตพับลิชชิง หรือสยามอินเตอร์คอมิกส์ ในปัจจุบัน และใช้ชื่อตามหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ แต่มีการแถมรูปลอกมาพร้อมในเล่ม อีกทั้งยังมีการประชาสัมพันธ์ที่ใหญ่โตที่แดนเนรมิต ใช้ชื่องานว่า "โลกของโดรามอน" จัดให้มีกิจกรรมมากมายเช่น การประกวดร้องเพลงโดราเอมอนภาษาไทย ซึ่งร่วมมือกับค่ายเพลง อโซน่า ถึง 6 เพลง อีกทั้งยังมีนำเข้าสินค้าตัวละครโดราเอมอนจากประเทศฮ่องกงมาจำหน่ายในงานอีกด้วย จนในปัจจุบันการ์ตูนเรื่องนี้ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ฉบับหนังสือการ์ตูนอย่างถูกต้อง โดยสำนักพิมพ์เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ ซึ่งมีการตีพิมพ์ 45 เล่ม และมีการรวมเล่มพิเศษอีกหลายฉบับเช่น โดราเอมอนชุดพิเศษ โดราเอมอนพลัส และโดราเอมอนบิ๊กบุคส์ อีกทั้งยังมีตีพิมพ์ซ้ำแล้วหลายรอบ
ในปีพ.ศ. 2525 ทางไชโยภาพยนตร์ได้มีการฉายโดราเอมอนฉบับภาพยนตร์ขึ้นถึง 2 ตอนด้วยกัน คือตอน ไดโนเสาร์ของโนบิตะ และโนบิตะนักบุกเบิกอวกาศ ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ทางช่อง 9 ก็ได้มีการออกอากาศโดราเอมอนฉบับการ์ตูนทีวี ทางโทรทัศน์ เริ่มเมื่อวันที่ 5 กันยายน ในปีเดียวกัน (พ.ศ. 2525)[24][25]ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างดีเช่นกัน ทำให้ช่อง 9 ได้รับการยอมรับในเรื่องของการออกอากาศภาพยนตร์การ์ตูนทางโทรทัศน์ และทีมนักพากย์การตูนอีกด้วย (นิตยสาร a day, 2545: 70) สำหรับในปัจจุบัน โดราเอมอนฉบับภาพยนตร์มีการจัดฉายในโรงภาพยนตร์เป็นประจำทุกปีอีกครั้ง โดยบริษัทดับบลิวพีเอ็มฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล เริ่มในปีพ.ศ. 2544 เป็นต้นมา[26] ส่วนโดราเอมอนฉบับการ์ตูนทีวีนั้นก็มีการฉายซ้ำเป็นระยะ และฉายตอนใหม่อยู่เรื่อย ๆ ทางสถานีโทรทัศน์ โมเดิร์นไนน์ ทีวี

[แก้]เพลงประกอบ

ดูบทความหลักที่ เพลงประกอบ
เพลงเปิดของโดราเอมอน คือเพลง "โดราเอมอนโนะอุตะ" (ญี่ปุ่นドラえもんのうた Doraemon no uta เพลงของโดราเอมอน ?) ซึ่งใช้เป็นเพลงเปิดทั้งของฉบับการ์ตูนโทรทัศน์และฉบับภาพยนตร์บางตอนในช่วงปี พ.ศ. 2522-2548 โดยมีผู้ขับร้องหลายคนในช่วงเวลาแตกต่างกัน ในขณะที่เพลงปิดนั้นมีทั้งหมด 11 เพลง

[แก้]ความนิยม

โดราเอมอนเป็นการ์ตูนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย และแม้ว่าเรื่องนี้จะจบลงไปนานแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นที่นิยมกันอยู่ โดยมีการพิมพ์ใหม่ หรือนำออกมาฉายซ้ำออกอากาศอยู่เรื่อยๆ[ต้องการอ้างอิง]
เคยมีการวิเคราะห์ด้วยเหตุผลทางจิตวิทยาว่าสาเหตุที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้เป็นที่นิยมมากนั้น เป็นเพราะตัวละครโนบิตะ มีลักษณะเป็นคนอ่อนแอ ขี้แพ้ ทำอะไรก็มักไม่ค่อยสำเร็จ หากมีเรื่องที่ถนัดอยู่บ้างก็เป็นเรื่องที่สังคมไม่ให้ความสำคัญหรือการยกย่อง เช่น เล่นพันด้าย หรือยิงปืนแม่น[ต้องการอ้างอิง] และเนื่องจากลักษณะนี้เองทำให้ผู้อ่านส่วนใหญ่มีความรู้สึก "มีส่วนร่วม" และเปิดใจให้ตัวละครอย่างโนบิตะเข้ามาในจิตใจได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกว่าตนเองคือผู้แพ้ คือผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกรังแก ไร้ความสามารถ หน้าตาไม่ดี ไม่มีความสามารถ และย่อมอยากและหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีผู้มาช่วยเหลือเรื่องต่างๆให้แก่เรา ซึ่งในเรื่องนี้ก็คือโดราเอมอนนั่นเอง[ต้องการอ้างอิง]
โดราเอมอนนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นแม่อย่างหนึ่งก็ได้ จากเรื่องจะเห็นได้ว่า โดราเอมอนมักออกมาช่วยเหลือ ปกป้อง แก้ปัญหาให้โนบิตะ ในยามคับขันหรือเดือดร้อน เสมอๆ เป็นบทบาทของ "แม่ผู้ใจดี"[ต้องการอ้างอิง] ซึ่งก็คือสิ่งที่มนุษย์เราต้องการอยู่ลึกๆ และในบางตอนโดราเอมอนก็แสดงบท "แม่ใจร้าย" คือการแก้เผ็ดหรือปล่อยให้โนบิตะผจญกับความยากลำบากที่มักเป็นผู้ก่อขึ้นเองจากความรู้สึกในด้านชั่วร้าย เช่นการอิจฉาริษยาผู้อื่น การเกลียดชังผู้อื่น การโกหก เพื่อเป็นการสั่งสอนโนบิตะให้รู้จักความผิดชอบชั่วดี[ต้องการอ้างอิง]

[แก้]ข่าวลือกับตอนจบของโดราเอมอน

ที่จริงแล้วการ์ตูนเรื่อง โดราเอมอน นั้นไม่มีตอนจบ เนื่องจากผู้เขียนได้เสียชีวิตไปก่อน[27] แต่ก็มีหลายกระแสที่ออกมาบอกว่าผู้แต่งได้วางโครงเรื่องไว้ในตอนจบ ซึ่งต่างกันหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ที่นักอ่านชาวไทยรู้กันดีคือ โดราเอมอนและตัวละครเสริมอื่นๆ นั้นไม่มีจริง มีแค่โนบิตะเพียงคนเดียว ซึ่งโนบิตะในตอนจบนั้นที่จริงแล้วเป็นเด็กที่ไม่สบายใกล้เสียชีวิต อยู่ในโรงพยาบาล และเพื่อนๆยืนอยู่ข้างเตียงของโนบิตะที่ใกล้ตายอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งตอนจบนี้มีความสะเทือนใจอย่างมาก ผิดไปจากการ์ตูนหลายๆ เรื่องที่ผู้เขียนเคยแต่งมา ซึ่งส่วนใหญ่จะจบลงด้วยดีมาตลอด[28]
ส่วนตอนจบอีกแบบหนึ่งคือ อยู่ดีๆ วันหนึ่งโดราเอมอนก็เกิดแบตเตอรี่หมด แล้วหยุดทำงานเสียเฉยๆ โนบิตะจึงปรึกษากับโดรามี น้องสาวของโดราเอมอน โดรามีบอกโนบิตะว่า ถ้าเปลี่ยนแบตเตอรี่ของโดราเอมอน ความจำทั้งหลายจะหายหมด เนื่องจากแบตเตอรี่สำรองไฟที่เก็บความจำของหุ่นยนต์รูปแมวนั้นเก็บไว้ที่หู และอย่างที่ทราบกันว่าโดราเอมอนไม่มีหู ดังนั้นถ้าเปลี่ยนแบตเตอรี่ เขาจะต้องสูญเสียความจำ ต้องนำไปซ่อมที่โลกอนาคต แต่การใช้ ไทม์แมชชีนนั้นผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายใหม่ของโลกอนาคต ถ้าส่งโดราเอมอนกลับ โดราเอมอนจะมาหาโนบิตะอีกไม่ได้ ทำให้โนบิตะตัดสินใจไม่เปลี่ยนแบตเตอรี่ แล้วตั้งใจเรียนจนเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก แล้วก็แต่งงานกับชิสึกะและสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้โดราเอมอนได้สำเร็จ โดยที่ความทรงจำไม่หายไป (โดยก่อนที่โนบิตะจะเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้โดราเอมอนได้เรียกชิสึกะมาดูโดราเอมอน) และเขาก็มีลูกชื่อโนบิสึเกะ และอยู่ด้วยกันอย่างมีสุข[28]สำหรับความเป็นไปได้ของตอนจบรูปแบบนี้ได้ปรากฏขึ้นใน "โดรามีกับการผจญภัยของโนบิสุเกะ" ซึ่งเรื่องราวกล่าวถึงโดราเอมอนที่ได้รับการซ่อมแซมจากโนบิตะ ผ่านทางการทักทายของซิซูกะและโดรามี หลังจากที่ทั้งสองไม่ได้เจอหน้ากันมาร่วม 10 ปี โดยบทสนทนานั้นได้มีการพูดถึงโดราเอมอนที่ซ่อมแซมโดยโนบิตะและกลับไปยังยุคของเซวาชิ และในฉากที่โนบิตะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ประดิษฐ์เครื่องติดตามตัวลงในตัวมินิโดราสีแดงซึ่งเป็นผลจากการซ่อมแซมโดราเอมอน ทำให้โนบิตะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตตนเองในที่สุด
อย่างไรก็ดี โดราเอมอนตอนจบทุกแบบก็ยังไม่มีหลักฐานที่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนเพียงพอว่าเป็นตอนจบที่แท้จริง และอันที่จริงแล้วโดราเอมอนนั้นเคยจบไปแล้วครั้งหนึ่งในตอนสุดท้ายของรวมเล่มฉบับที่ 6 ชื่อตอนว่า "ลาก่อนโดราเอมอน" แต่เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการจากทั้งแฟนๆ และทางสำนักพิมพ์ ในที่สุด ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ จึงได้กลับมาเขียนโดราเอมอนต่ออีกครั้ง[ต้องการอ้างอิง]

[แก้]โดจินชิ

โดราเอมอน เป็นหนึ่งในการ์ตูนหลายเรื่องที่ถูกเขียนซ้ำโดยนักวาดการ์ตูนคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ผู้แต่งเรื่องตัวจริง หรือที่เรียกว่า โดจินชิ ออกมามากมาย แต่สำหรับโดจินชิที่ถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุดก็คือ ผลงานของนักวาดการ์ตูนชาวญี่ปุ่น ยาสุเอะ ทาจิมะ[29] ซึ่งเป็นโดจินชิตอนจบของโดราเอมอน โดยนำเค้าโครงเรื่องมาจากตอนจบของโดราเอมอนหลายๆ แบบที่ถูกเล่าลือตามเมลลูกโซ่มานาน[29][30] งานโดจินชิเล่มนี้ ได้ออกวางขายครั้งแรกในงานคอมมิกมาร์เก็ต ฤดูร้อน ปี 2548 (ครั้งที่ 68) และครั้งต่อมาในฤดูหนาว (ครั้งที่ 69) ปีเดียวกัน[29] ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมากจนหนังสือถึงกับขาดตลาด และถูกนำไปเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง
แต่เนื่องจากโดจินชิเล่มนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงจนมียอดจำหน่ายมากถึง 15,550 เล่ม นับตั้งแต่ที่เริ่มเปิดตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อทางสำนักพิมพ์โชงะกุกัง ผู้ถือลิขสิทธิ์โดราเอมอนฉบับรวมเล่มเป็นอย่างมาก เพราะโดจินชิเล่มนี้ไม่ใช่ผลงานอย่างเป็นทางการของ ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ อีกทั้งยังสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้อ่านเกี่ยวกับตอนจบที่แท้จริงของโดราเอมอน ทำให้ทางสำนักพิมพ์ต้องออกมาแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เขียนว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ และขอให้หยุดจำหน่ายโดจินชิเล่มนี้ในทันที รวมถึงการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตด้วย[30][31] ซึ่ง ยาสุเอะ ทาจิมะ ก็ได้ออกมากล่าวคำขอโทษและแก้ต่างว่าเธอเพียงแค่เขียนโดจินชิเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นที่ระลึกในการสร้างอะนิเมะฉบับจอเงิน (ไดโนเสาร์ของโนบิตะ 2006) เท่านั้น ทำให้คดีความทั้งหมดยุติลง[ต้องการอ้างอิง]

[แก้]ส่วนเกี่ยวข้อง


รถไฟที่ตกแต่งด้วยตัวละครโดราเอมอน
  • ศาตราจารย์ยาสึยูกิ โยโกยามะ แห่งมหาวิทยาลัยโทยามะ ได้ทำการวิจัยผลงานเรื่องโดราเอมอน และเปิดเผยว่าของวิเศษที่โดราเอมอนหยิบออกมาจากกระเป๋ามิติที่สี่ มีทั้งหมด 1,963 ชิ้น[32] ในขณะที่เว็บไซต์ Doraemon FanClub บันทึกจำนวนของวิเศษเอาไว้ทั้งหมด 1,812 ชิ้น[33]
  • หนังสือการ์ตูนโดราเอมอนเป็นหนึ่งในการ์ตูนญี่ปุ่นที่ขายได้มากกว่า 750,000,000 เล่ม[ต้องการอ้างอิง]
  • ประเทศแรกที่ฉายโดราเอมอนต่อจากญี่ปุ่น คือฮ่องกง ใน พ.ศ. 2524[ต้องการอ้างอิง]
  • หนังสือการ์ตูนโดราเอมอนมีหลายภาษาด้วยกัน ไม่ต่ำกว่า 9 ภาษาทั่วโลก ตีพิมพ์ในประเทศเช่นประเทศเกาหลีใต้ สเปน จีน เวียดนาม[ต้องการอ้างอิง]
  • ประเทศเวียดนามนิยมการ์ตูนโดราเอมอนเป็นอย่างมาก ถึงขนาดมีมูลนิธิเพื่อการศึกษาโดราเอมอน เริ่มตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2536 แบบไม่ถูกลิขสิทธิ์ และใน พ.ศ. 2541 จึงมีการตีพิมพ์ฉบับลิขสิทธิ์ ก็ยังได้รับความนิยมเสมอมา[ต้องการอ้างอิง]
  • พ.ศ. 2525 หนึ่งในผู้ให้กำเนิดโดราเอมอน ฮิโรชิ ฟุจิโมโตะ ได้เดินทางมาประชาสัมพันธ์โดราเอมอนฉบับภาพยนตร์ให้กับทางไชโยภาพยนตร์ แต่เป็นการมาช่วงเวลาที่สั้นมาก เป็นเพราะความโด่งดังนั่นเองทำให้ต้องรีบกลับไปทำงานต่อที่โตเกียว แต่ก็ได้ไปออกในรายการ "อาทิตย์ยิ้ม" ของดำรง พุฒตาล ทางช่อง 9[ต้องการอ้างอิง]
  • พ.ศ. 2531 โดราเอมอนได้รับเกียรตินำไปสร้างเป็นบัลลูนขนาดยักษ์ชื่อ "โดราบารุคุง" (ドラバルくん) โดยปล่อยให้ลอยอยู่บนท้องฟ้ามาเป็นเวลานาน 12 ปี และจากนั้นในปี พ.ศ. 2543 ก็ได้มีการสร้างบัลลูนลูกใหม่ขึ้นมาในชื่อว่า "โดราเน็ตสึคิคิว นิโกคิ" (ドラ熱気球2号機) [34]
  • พ.ศ. 2535 ในการประกวดแข่งขันรถพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการรณรงค์ประหยัดพลังงาน ได้มีการผลิตรถพลังแสงอาทิตย์ตามตัวละครโดราเอมอนขึ้นมา เรียกว่า "โซราเอมอน" (ソラえもん号) [35]
  • พ.ศ. 2540 ในวันที่ 2 พฤษภาคม สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานข่าวการวางจำหน่ายแสตมป์โดราเอมอนที่ประเทศญี่ปุ่น มีสีเขียว ส้ม ชมพู และสีน้ำเงิน โดยมีการต่อแถวรอซื้อตั้งแต่เช้า[36]
  • ในประเทศญี่ปุ่น มีรถไฟโดราเอมอนอยู่ด้วย โดยเป็นเส้นทางจากอาโอโมริไปฮาโกดาเตะ ตัวโบกี้มีการตบแต่งด้วยตัวละครจากโดราเอมอนทั้งภายนอกและภายใน และมีโบกี้พิเศษสำหรับแฟนคลับโดราเอมอน โดยมีภาพยนตร์การ์ตูน ของที่ระลึกจัดจำหน่าย รวมไปถึงพนักงานต้อนรับสวมหัวโดราเอมอนซึ่งคอยบริการอยู่บนรถไฟ[37]
  • ในประเทศไทย ได้นำชื่อตัวละครในโดราเอมอน นำไปเผยแพร่ในรายการราชรถมาเกย โดยตัวละครที่เผยแพร่คือ ซูเนโอะ
ในคำถามของรายการ ทางช่อง 9
  • 3 ม.ค. 2555 รายการราชรถมาเกย ตั้งคำถามถึงคุณสมบัติของโดราเอมอน มีคำตอบที่ถูกคือ โดราเอมอนไม่ได้กำเนิดจากที่บ้าน โดราเอมอนเป่ายิงฉุบได้ โดรามอนมีรอบเอว 129.3 โดราเอมอนมีหางไว้ปิดตัวเองได้ โดราเอมอนไม่มีล้อที่เท้า โดราเอมอนเดิมมีร่างกายสีเหลือง



นาฬิกา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

นาฬิกาติดผนัง
นาฬิกา เป็นเครื่องมือสำหรับใช้บอกเวลา โดยมากจะมีรอบเวลา 12 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมง สำหรับนาฬิกาทั่วไป มีเครื่องหมายบอกชั่วโมง นาที หรือวินาที เครื่องมือสำหรับจับเวลาระยะสั้นๆ เรียกว่านาฬิกาจับเวลา เดิมนั้นเป็นอุปกรณ์เชิงกล มีลานหมุนขับเคลื่อนกำลัง และมีเฟืองเป็นตัวทดความเร็วให้ได้รอบที่ต้องการ และใช้เข็มบอกเวลา โดยใช้หน้าปัดเขียนตัวเลขระบุเวลาเอาไว้ ลักษณนามของนาฬิกา เรียกว่า “เรือน” แต่ก็มีนาฬิกาแบบอื่นๆ ซึ่งใช้บอกอีก เช่น นาฬิกาทราย ใช้จับเวลา, นาฬิกากะลา เป็นกะลาเจาะรูใช้จับเวลา โดยการลอยในน้ำ จนกว่าจะจมก็ถือว่าหมดเวลา, นาฬิกาแดด เป็นการตั้งเครื่องมือเพื่อให้สังเกตการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ โดยดูจากเงาของเครื่องมือ บางครั้งเราก็มีการบอกเวลาโดยใช้เครื่องมืออื่น ซึ่งไม่ได้เรียกว่าเป็น นาฬิกา เช่น การตีกลองบอกเวลาเพล ของพระสงฆ์, การตีฆ้องบอกเวลาของแขกยาม หรือการยิงปืนบอกเวลา 





ประวัติ

นาฬิกา เป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ สร้างขึ้นมาเพื่อต้องการเครื่องมือบอกเวลาที่ละเอียดกว่าหน่วยธรรมชาติ เช่น เช้า กลางวัน เย็น ข้างขึ้น ข้างแรม ซึ่งก็ได้มีการสร้างอุปกรณ์และพัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นนาฬิกาที่ใช้กันทุกวันนี้

[แก้]นาฬิกาแดด

นาฬิกาแดดจะวัดเวลาโดยการดูจากเงาที่เกิดขึ้นจากดวงอาทิตย์ ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคโบราณ

[แก้]นาฬิกาดิจิตอล

นาฬิกาดิจิตอล จะแสดงตัวเลขของเวลาปัจจุบัน นาฬิกาดิจิตอลบางรุ่นมีเทคโนโลยีที่สามารถปรับจูนเวลาให้ตรงกับเวลาสากลโดยใช้อินเทอร์เน็ตได้โดยอัตโนมัติแต่ต้องใส่ถ่าน




คอมพิวเตอร์


คอมพิวเตอร์ (อังกฤษcomputer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์[2][3] เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย
คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป
หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่างๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่างๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน[4]
คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit)โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินขับไล่ และของเล่นชนิดต่างๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม

ประวัติของการคำนวณโดยใช้คอมพิวเตอร์

มีการบันทึกไว้ว่า ครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "คอมพิวเตอร์" คือเมื่อ ค.ศ. 1613 ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ทำหน้าที่คาดการณ์ หรือคิดคำนวณ และมีความหมายเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 และตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มา ความหมายของคำว่าคอมพิวเตอร์นี้เริ่มมีใช้กับเครื่องจักรที่ทำหน้าที่คิดคำนวณมากขึ้น[5]

คอมพิวเตอร์ยุคแรกที่มีฟังก์ชันจำกัด

ประวัติของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่นั้นเริ่มต้นจากเทคโนโลยีสองชนิดที่แตกต่างกัน ได้แก่ การคำนวณโดยอัตโนมัติ กับการคำนวณที่สามารถโปรแกรมได้ (หมายถึงสร้างวิธีการทำงานและปรับแต่งได้) แต่ระบุแน่ชัดไม่ได้ว่าเทคโนโลยีชนิดใดเกิดขึ้นก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการคำนวณแต่ละชนิดนั้นไม่มีความสอดคล้องกัน อุปกรณ์บางชนิดก็มีความสำคัญที่จะเอ่ยถึง อย่างเช่นเครื่องมือเชิงกลเพื่อการคำนวณบางชนิดที่ประสบความสำเร็จและยังใช้กันอยู่หลายศตวรรษก่อนที่จะมีเครื่องคิดเลขอิเล็กทรอนิกส์ อาทิลูกคิดของชาวสุเมเรียนที่ถูกออกแบบขึ้นราว 2,500 ปีก่อนคริสตกาล[6] ชนะการแข่งขันความเร็วในการคำนวณต่อเครื่องคำนวณตั้งโต๊ะเมื่อ ค.ศ. 1946 ที่ประเทศญี่ปุ่น[7] ต่อมาในคริสต์ทศวรรษ 1620 มีการประดิษฐ์สไลด์รูล ซึ่งถูกนำขึ้นยานอวกาศในภารกิจของโครงการอะพอลโลถึง 5 ครั้ง รวมถึงเมื่อครั้งที่สำรวจดวงจันทร์ด้วย[8] นอกจากนี้ยังมี เครื่องทำนายตำแหน่งดาวฤกษ์ (Astrolabe) และ กลไกอันติคือเธรา ซึ่งเป็นเครื่องคำนวณ (คอมพิวเตอร์) เกี่ยวกับดาราศาสตร์ยุคโบราณที่ชาวกรีกเป็นผู้สร้างขึ้นราว 80 ปีก่อนคริสตกาล[9] ที่มาของระบบการสั่งการโปรแกรมเกิดขึ้นเมื่อ ฮีโรแห่งอเล็กซานเดรีย (c.10-70 AD) นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกสร้างโรงละครที่ประกอบด้วยเครื่องจักร ใช้แสดงละครความยาว 10 นาที และทำงานโดยมีกลไกเชือกและอิฐบล็อกทรงกระบอกที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถตัดสินใจเลือกได้ว่าจะชิ้นส่วนกลไกใดใช้ในการแสดงฉากใดและเมื่อใด[10]
ราวๆ ปลายศตวรรษที่ 10 สมเด็จพระสันตะปาปาซิลเวสเตอร์ที่ 2 นักบวชชาวฝรั่งเศส ได้นำลิ้นชักบรรจุอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่จะตอบคำถามได้ว่าใช่ หรือ ไม่ใช่ เมื่อถูกถามคำถาม (ด้วยเลขฐานสอง)[11] ซึ่งชาวมัวร์ประดิษฐ์ไว้กลับมาจากประเทศสเปน ในศตวรรษที่ 13 นักบุญอัลแบร์ตุส มาญุส และโรเจอร์ เบคอน นักปราชญ์ชาวอังกฤษ ได้สร้างหุ่นยนต์แอนดรอยด์ (android) พูดได้ โดยไม่ได้พัฒนาใดๆ ต่ออีก (นักบุญอัลแบร์ตุส มาญุส บ่นออกมาว่าเขาเสียเวลาเปล่าไป 40 ปีในชีวิต เมื่อนักบุญโทมัส อควีนาสตกใจกับเครื่องนี้และได้ทำลายมันเสีย) [12]
ในปี ค.ศ. 1642 แห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา มีการประดิษฐ์เครื่องคำนวณของปาสคาลซึ่งเป็นเครื่องคำนวณตัวเลขเชิงกล[13] เป็นอุปกรณ์ที่จะสามารถคำนวณโดยใช้ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์โดยไม่ต้องพึ่งสติปัญญามนุษย์[14] เครื่องคำนวณเชิงกลนี้ยังถือเป็นรากฐานของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ในสองทาง แรกเริ่มนั้น ความพยายามที่จะพัฒนาเครื่องคำนวณที่มีสมรรถภาพสูงและยืดหยุ่น[15] ซึ่งทฤษฎีนี้ถูกสร้างโดยชาร์ลส แบบเบจ[16][17] และได้รับการพัฒนาในเวลาต่อมา[18] นำไปสู่การพัฒนาเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่) ขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1960 และในขณะเดียวกัน อินเทล ก็สามารถประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเป็นหัวใจสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์หากไม่คำนึงถึงขนาดและวัตถุประสงค์[19] ขึ้นได้โดยบังเอิญ[20] ระหว่างการพัฒนาเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ บิซิคอม ที่พัฒนาสืบต่อจากเครื่องคำนวณเชิงกลโดยตรง

ประเภทของคอมพิวเตอร์

ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ใช้วงจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่มาก (very large scale integrated circuit) ซึ่งสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่าสิบล้านตัว เราสามารถแบ่งคอมพิวเตอร์ในรุ่นปัจจุบันออกเป็น 4 ประเภทดังต่อไปนี้

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่ สามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทางวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคำนวณหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจำสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึงมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผลหลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน

เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)

เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีสมรรถภาพที่ต่ำกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก แต่ยังมีความเร็วสูง และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามินิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์สามารถให้บริการผู้ใช้จำนวนหลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ฉะนั้น จึงสามารถใช้โปรแกรมจำนวนนับร้อยแบบในเวลาเดียวกันได้ โดยเฉพาะถ้าต่อเครื่องเข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถใช้ได้จากทั่วโลก ปัจจุบัน องค์กรใหญ่ๆ เช่น ธนาคาร จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ในการทำบัญชีลูกค้า หรือการให้บริการจากเครื่องฝากและถอนเงินแบบอัตโนมัติ (automatic teller machine) เนื่องจากเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ถูกใช้งานมากในการบริการผู้ใช้พร้อม ๆ กัน เมนเฟรมคอมพิวเตอร์จึงต้องมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก

มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)

มินิคอมพิวเตอร์ คือ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถบริการผู้ใช้งานได้หลายคนพร้อม ๆ กัน แต่จะไม่มีสมรรถภาพเพียงพอที่จะบริการผู้ใช้ในจำนวนที่เทียบเท่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ จึงทำให้มินิคอมพิวเตอร์เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลาง หรือสำหรับแผนกหนึ่งหรือสาขาหนึ่งขององค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น

ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal computer หรือ PC)

ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดตั้งโต๊ะ (desktop computer) หรือขนาดเล็กกว่านั้น เช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop computer) ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีขึ้นในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพที่สูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกระทัดรัด ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยังเหมาะสำหรับใช้ส่วนตัว ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบสำหรับใช้ที่บ้าน โรงเรียน และสำนักงานสำหรับที่บ้าน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทำงบประมาณรายรับรายจ่ายของครอบครัวช่วยทำการบ้านของลูกๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail หรือ E - mail) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต (internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งทางบันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สำหรับที่โรงเรียน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนนักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากทั่วโลกสำหรับที่สำนักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูลอื่นๆ เก็บและค้นข้อมูล วิเคราะห์และทำนายยอดซื้อขายล่วงหน้า

โน้ตบุ๊ค (notebook or laptop)

โน้ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา ในปัจจุบันมีขนาดพอๆกับสมุดที่ทำด้วยกระดาษ

เน็ตบุ๊ค (netbook or laptop)

เน็ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และเล็กกว่าโน้ตบุ๊ค ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา

อัลตร้าบุ๊ค (Ultrabook)

อัลตร้าบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และมีขนาดเท่ากับโน้ตบุ๊ค ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ และน้ำหนักเบากว่าโน้ตบุ๊ค และเน้นความสวยงาม ทันสมัย แปลกใหม่

แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ (tablet computer)

แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า แท็บเล็ต คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ในขณะเคลื่อนที่ได้ ขนาดกลางและใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก มีคีย์บอร์ดเสมือนจริงหรือปากกาดิจิตอลในการใช้งานแทนที่แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด และมีความหมายครอบคลุมถึงโน๊คบุ๊คแบบ convertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมีแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบหมุนหรือแบบสไลด์ก็ตาม [21]

ตัวอย่างประโยชน์ของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์มีประโยชน์กับเรามากมาย เช่น
  1. การใช้งานภาครัฐ งานทะเบียนราษฎร์ของรัฐบาล เช่น การแจ้งเกิด ตาย ย้ายที่อยู่ การทำบัตรประจำตัวประชาชน งานภาษี เช่น ยื่นแบบประเมินภาษีภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต เก็บทะเบียนประวัติผู้เสียภาษี ตรวจสอบการเสียภาษี
  2. งานสายการบิน การสำรองที่นั่งผู้โดยสาร การลดงานเอกสาร
  3. ทางด้านการศึกษา สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเรียนออนไลน์ให้กับผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล
  4. ธุรกิจการนำเข้าสินค้าและส่งออก การทำธุรกิจแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
  5. ธุรกิจธนาคาร ช่วยด้านงานข้อมูลธนาคาร รับ-จ่ายเงิน เก็บประวัติลูกค้า ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ
  6. วิทยาศาสตร์และการแพทย์ การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรักษาของคนไข้ วิจัย คำนวณ และ การจำลองแบบ
  7. งานสถาปนิก ช่วยออกแบบ เขียนแบบ หรือทำแบบจำลองสามมิติ
  8. งานภาพยนตร์ การ์ตูน แอนิเมชัน ช่วยสร้างตัวการ์ตูนเคลื่อนไหว ออกแบบตัวการ์ตูน จำลองตัวการ์ตูนสามมิติ การตัดต่อภาพยนตร์
  9. งานด้านสถิติ ช่วยเก็บบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ จำลองแบบข้อมูล และการเผยแพร่ข้อมูล
  10. ด้านนันทนาการ ช่วยให้ความบันเทิง ดูหนัง ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ เล่นเกม




เฟอร์รารี่


Ferrari S.p.A.
ก่อตั้งเมื่อค.ศ. 1947
สำนักงานใหญ่มาราเนลโล , ประเทศอิตาลี
บุคลากรหลักเอ็นโซ เฟอร์รารี่ (ผู้ก่อตั้ง)
แมตเตโอ ดิ มอนเตเซโมโล(ประธานบริษัท)
ปีเอโร เฟอร์รารี่ (รองประธาน)
อาเมเดโอ เฟลิซา (ซีอีโอ)
Giancarlo Coppa (ซีเอฟโอ)
อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์
ผลิตภัณฑ์รถสปอร์ต
รายได้ 2,695 ล้าน
เว็บไซต์Ferrariworld.com
เฟอร์รารี่ เป็นบริษัทผลิตรถ จากมาราเนลโล ประเทศอิตาลีก่อตั้งในปี 1929 โดย นาย เอ็นโซ เฟอร์รารี่เป็นผู้ก่อตั้ง และได้มาก่อตั้งใหม่ในปี 1947 เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตชื่อดัง ที่มีจำหน่ายทั่วโลก โดยคู่แข่งทางการค้าคงหนีไม่พ้น ค่าย กระทิงดุ ลัมโบร์กีนีซึ่งรถสัญชาติเดียวกัน มีสีประจำยี่ห้อ คือ สีแดง เฟอร์รารี่เป็นผู้ได้รับการบันทึกไว้สำหรับการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องในความสำเร็จกับรถสูตรหนึ่งโดยสปอนเซอร์รายใหญ่ของเฟอร์รารี่ คือ บริษัทน้ำมันรายใหญ่ชื่อ เซลล์ รถเฟอร์รารี่มีฉายาที่คนไทยรู้จักกันดีว่า ม้าลำพอง
สำหรับรุ่นต่างๆ ของเฟอรร์รารี่ ได้แก่ แคลิฟอเนีย , 458 อิตาเลีย , เอฟ 12 เบริเนตต้า , เอฟเอฟ , เอ็นโซ , เอ็ฟ 430 เป็นต้น

เฟอร์รารี่ เอ็นโซ ซึ่งแพงที่สุดของค่ายนี้และตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้ง

[แก้]รุ่นต่างๆเช่น

เฟอร์รารี แคลิฟอเนีย(Ferrari California)เฟอร์รารี 458 อิตาเลีย(Ferrari Italia 458 Italia)เฟอร์รารี เอฟ 12 เบริเนตต้า (Ferrari F12 Berlinetta)เฟอร์รารี เอฟเอฟ(Ferrari FF)
  • จีที
  • 8 สูบ (V8)
  • โรสเตอร์เปิดประทุน
  • รถสปอร์ต
  • 8 สูบ (V8)
  • จีที
  • 12 สูบ (V12)
  • จีที
  • 12 สูบ (V12)
Ferrari California1.jpgFerrari 458 Italia in London.jpg2012-03-07 Motorshow Geneva 4309.JPG2011-03-04 Autosalon Genf 1369.JPG



เครื่องรับวิทยุ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เครื่องรับวิทยุรุ่นเก่า
เครื่องรับวิทยุ เป็นเครื่องมือสื่อสารทางเดียวชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่รับและเลือกคลื่นวิทยุจากสายอากาศ แล้วนำไปสู่ภาคขยายต่อไป โดยมีช่วงความถี่ของคลื่นที่กว้าง แล้วแต่ประเภทของการใช้งาน
โดยทั่วไป คำว่า "เครื่องวิทยุ" มักจะใช้เรียกเครื่องรับสัญญาณความถี่กระจายเสียง เพื่อส่งข่าวสาร และความบันเทิง โดยมีย่านความถี่หลักๆ คือ คลื่นสั้น คลื่นกลาง และคลื่นยาว

เนื้อหา

  [ซ่อน

[แก้]ประวัติ

เครื่องรับวิทยุเกิดขึ้นในราว พ.ศ. 2439 ในงานจัดแสดงของรัสเซีย โดย Bunta Takumi
ในประเทศไทยยุคแรกประมาณปี พ.ศ. 2470 ได้ติดตั้งเครื่องส่งวิทยุระบบAM ขนาด200วัตต์ ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข โดยการควบคุมของช่างวิทยุกรมไปรษณีย์โทรเลข นับเป็นครั้งแรกที่มีเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงออกอากาศ เครื่องรับวิทยุในยุคแรกนั้นเป็นชนิดแร่ มีเสียงเบามากและต้องใช้หูฟัง ต่อมาเปลี่ยนเป็นเครื่องรับชนิดหลอดสุญญากาศ มีความดังมากขึ้น เช่น เครื่องรับชนิด 4 หลอด ถึง 8 หลอด
ประมาณปี พ.ศ. 2500 เป็นยุคเครื่องรับวิทยุทรานซิสเตอร์ แต่ระยะแรกๆ ยังมีขนาดใหญ่มากและต่อมามีการพัฒนาอุปกรณ์และวงจรให้มีขนาดเล็กลงตามลำดับ จนสามารถนำไปในสถานที่ต่างๆได้ ทำให้กิจการวิทยุเป็นที่ยอมรับของประชาชนและมีสถานีส่งเกิดขึ้นมากมาย และมีการส่งทั้งระบบ AM และFM เช่นในปัจจุบัน

[แก้]หลักการทำงาน

  • วงจรเลือกรับความถี่วิทยุ เนื่องจากสถานีส่งวิทยุหลายๆสถานี แต่ละสถานีจะมีความถี่ของตนเอง ดังนั้นจะต้องเลือกรับความถี่ที่ต้องการรับฟังในขณะนั้น
  • วงจรขยายความถี่วิทยุ ทำหน้าที่นำเอาสัญญาณความถี่วิทยุที่เลือกรับเข้ามา มาทำการขยายสัญญาณให้มีกำลังแรงมากขึ้นเพียงพอกับความต้องการ
  • วงจรดีเทคเตอร์ ทำหน้าที่ตัดคลื่นพาหะออกหรือดึงคลื่นพาหะลงดินให้เหลือเฉพาะสัญญาณความถี่เสียง (AF) เพียงอย่างเดียว
  • วงจรขยายสัญญาณเสียง ทำหน้าที่ขยายสัญญาณทางไฟฟ้าของเสียงให้มีกำลังแรงขึ้น ก่อนที่จะส่งออกยังลำโพง
  • ลำโพง เมื่อได้รับสัญญาณทางไฟฟ้าของเสียงก็จะเปลี่ยนพลังงานจากสัญญาณทางไฟฟ้าของเสียงให้เป็นเสียงรับฟังได้

[แก้]วิทยุออนไลน์

สถานีวิทยุออนไลน์ คือ การให้บริการ Streaming Audio หรือการแพร่กระจายสัญญาณเสียงผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยสามารถจัดผังรายการได้เองตามที่ต้องการ เพื่อตั้งสถานีวิทยุจัดรายการออนไลน์สด ทั้งพูดคุยและเปิดเพลง รูปแบบเดียวกับการจัดรายการของสถานีวิทยุปกติ



ประวัติอาหารไทย


ประวัติอาหารไท
        
          อาหารไทยขึ้นชื่อได้ว่ามีประวัติมาช้านาน ผู้คนส่วนใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ
ต่างนิยมชมชอบในอาหารไทยกันมากมาย โดยเฉพาะชื่อเสียงในด้านความเข้มข้น
และจัดจ้านของรสอาหารที่ติดปากติดใจผู้คนมานับศตวรรษโดยส่วนใหญ่อาหารไทย
จะมีวิธีการประกอบอย่างง่ายๆ และ ใช้เวลาในการทำไม่มากนักโดยเฉพาะทุกครัวเรือน
ของคนไทย จะมีส่วนประกอบอาหารติดอยู่ทุกครัวเรือนไม่ว่าจะเป็น
พริก แห้ง กุ้งแห้ง น้ำปลา กะปิ ส้มมะขาม กระเทียม หัวหอมตลอด จนปลาบ้าง รวมทั้งส่วนประกอบอาหาร
จำพวกผัก และเนื้อสัตว์นานาชนิด เพราะมีวิธี
นำมาประกอบที่มีด้วยกันหลายรูปแบบไม่ ว่าจะเป็น
แกง ต้ม ผัด ยำ รวมทั้งอาหารไทยได้รับอิทธิพลใน
การปรุงอาหารรวมทั้งรูปแบบในการรับประทานอาหาร
ตั้งแต่ อดีต อาทิการนำเครื่องเทศมาใช้ในการประกอบ
อาหารก็ได้รับ อิทธิพลมาจากเปอร์เชียผ่านอินเดีย
เครื่องเทศ
หรืออาหารจำพวกผัดก็ได้ รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน เป็นต้น เมนูอาหารไทยที่ขึ้นชื่อลือชาหลายชนิดจึงประกอบไปด้วยอาหารมากมายกว่า 255 ชนิดอาหารไทยถือว่ามี
ีลักษณะพิเศษ   เนื่องจากประเทศไทยเป็นอู่ข้าว อู่น้ำ มีอาหารตามธรรมชาติที่มีพิเศษ
ตามภูมิอากาศ  และภูมิประเทศที่หลากหลายตลอดทั้งปีรวมทั้งคนไทยมีศิลปะอยู่ใน
สายเลือดอยู่แล้ว    จึงแสดงออกซึ่งศิลปะวิทยาของคนในรูปแบบการปรุงแต่งและการกิน
อาหารที่มีลักษณะเฉพาะ   ตั้งแต่เรื่องการผสมกลมกลืนในการปรุงแต่งรูป  รส  กลิ่น
ให้กลมกล่อมอร่อยและรสจัดอย่างโดดเด่นเป็นพิเศษในเรื่องการจัดรูปแบบและ
การแกะสลักการแกะสลัก

          การแกะสลัก  ตบแต่งสีสันสวยงามวิจิตรบรรจง
ในเรื่องการผสมสานทางคุณค่าอาหารและทางยา
เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพสูงสุดทั้งในแง่การป้องกัน

การบำรุงและการรักษา  ตลอดจนการใช้อาหารเป็น
เครื่องแสดงความผูกพันในหมู่ญาติมิตรและเป็นเครื่อง
แสดงฐานะทางสังคมรวมทั้งการใช้อาหารเป็นสื่อ
ทางความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ
                                                     อาหารไทย 

          เป็นอาหารที่ประกอบด้วยรสเข้มข้นมีเครื่องปรุงหลายอย่างรสชาติอาหาร
แต่ละอย่างมีรสเฉพาะตัวการใช้เครื่องปรุงรสต่างๆก็ไม่เหมือนกันผู้ประกอบอาหารไทยต้อง
ศึกษาจากตำราอาหารไทยและผู้เชี่ยวชาญการทำอาหารไทยให้อร่อยต้องใช้ความชำนาญ
และประสบการณ์ตลอดจนกรรมวิธีในการประกอบอาหารไทยผู้ทำจะต้องพิถีพิถัน ประณีต
มีขั้นตอนเพื่อให้อาหารน่ารับประทานรสชาติของอาหารไทย
          การทำอาหารไทย    ผู้ประกอบอาหารจะทำให้ได้ผลดีต้องขึ้นอยู่ที่การฝึกฝนและ
รู้วิธีการทำอาหาร รู้จักดัดแปลงตกแต่งอาหารชนิดต่าง ๆ ให้สะดุดตาสะดุดใจ
ต่อผู้ได้พบเห็นทำให้เกิดความอยากรับประทานอาหาร เมื่อรับประทานแล้วจะต้องติดใจ
ในรสชาติ และกลิ่นของอาหาร  การทำอาหาร ผู้ทำจึงควรหมั่นฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ
เพื่อให้มีประสบการณ์ต่ออาหารชนิดนั้นๆและเพื่อเป็นการปูพื้นฐานความรู้เรื่องอาหาร
ประเทศไทยมีภูมิภาคท้องถิ่นที่แตกต่างกันมากมายทำให้สภาพความเป็นอยู่ของ
ประชาชนในแต่ละชุมชนมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันโดยรวมถึงอาหารการกินด้วยอาหารของ
แต่ละภูมิภาคย่อมมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป

        ..............................อาหารไทยแท้กับอาหารไทยแปลง..........................
                    อาหารไทยแท้          คืออาหารที่คนไทยทำกันมาแต่โบราณ ส่วนมากเป็นแบบง่ายๆ เช่น ข้าวแช่ ต้มโคล้ง แกงป่า น้ำพริก เป็นต้น และหลน
          ขนมไทยแท้ก็ปรุงมาจากแป้ง น้ำตาล กะทิเป็นส่วนใหญ่ เช่น ขนมเปียกปูน ขนมเปียกอ่อน ตะโก้ ลอดช่อง เป็นต้น และถ้า
ใส่ไข่ ส่วนมากมักจะเป็นขนมไทยที่รับมาจาก
ชาติอื่น
ข้าวแช่
ต้มยำกุ้ง
อาหารไทยแปลง
          คืออาหารไทยที่แต่งแปลงมาจากเทศ หรือ
อาหารไทยที่รับมาจากต่างประเทศ บางชนิด
คนไทยคุ้นเคย จนไม่รู้สึกว่าเป็นของชาติอื่นเช่น แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น ที่จริงนั้นดัดแปลงมาจาก
ของอินเดีย และแกงจืดต้มจืดทั้งหลายก็ดัดแปลงมา
จากอาหารจีน เป็นต้น        
         อาหารหวานหรือขนมหลายอย่าง ได้รับการ
ถ่ายทอดมาจากชาวยุโรปที่เข้ามาในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น ทองหยิบ ทองหยอด
ทองโปร่ง ฝอยทอง และ สังขยาเป็นต้น

ประวัติอาหารไท
        
          อาหารไทยขึ้นชื่อได้ว่ามีประวัติมาช้านาน ผู้คนส่วนใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ
ต่างนิยมชมชอบในอาหารไทยกันมากมาย โดยเฉพาะชื่อเสียงในด้านความเข้มข้น
และจัดจ้านของรสอาหารที่ติดปากติดใจผู้คนมานับศตวรรษโดยส่วนใหญ่อาหารไทย
จะมีวิธีการประกอบอย่างง่ายๆ และ ใช้เวลาในการทำไม่มากนักโดยเฉพาะทุกครัวเรือน
ของคนไทย จะมีส่วนประกอบอาหารติดอยู่ทุกครัวเรือนไม่ว่าจะเป็น
พริก แห้ง กุ้งแห้ง น้ำปลา กะปิ ส้มมะขาม กระเทียม หัวหอมตลอด จนปลาบ้าง รวมทั้งส่วนประกอบอาหาร
จำพวกผัก และเนื้อสัตว์นานาชนิด เพราะมีวิธี
นำมาประกอบที่มีด้วยกันหลายรูปแบบไม่ ว่าจะเป็น
แกง ต้ม ผัด ยำ รวมทั้งอาหารไทยได้รับอิทธิพลใน
การปรุงอาหารรวมทั้งรูปแบบในการรับประทานอาหาร
ตั้งแต่ อดีต อาทิการนำเครื่องเทศมาใช้ในการประกอบ
อาหารก็ได้รับ อิทธิพลมาจากเปอร์เชียผ่านอินเดีย
เครื่องเทศ
หรืออาหารจำพวกผัดก็ได้ รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน เป็นต้น เมนูอาหารไทยที่ขึ้นชื่อลือชาหลายชนิดจึงประกอบไปด้วยอาหารมากมายกว่า 255 ชนิดอาหารไทยถือว่ามี
ีลักษณะพิเศษ   เนื่องจากประเทศไทยเป็นอู่ข้าว อู่น้ำ มีอาหารตามธรรมชาติที่มีพิเศษ
ตามภูมิอากาศ  และภูมิประเทศที่หลากหลายตลอดทั้งปีรวมทั้งคนไทยมีศิลปะอยู่ใน
สายเลือดอยู่แล้ว    จึงแสดงออกซึ่งศิลปะวิทยาของคนในรูปแบบการปรุงแต่งและการกิน
อาหารที่มีลักษณะเฉพาะ   ตั้งแต่เรื่องการผสมกลมกลืนในการปรุงแต่งรูป  รส  กลิ่น
ให้กลมกล่อมอร่อยและรสจัดอย่างโดดเด่นเป็นพิเศษในเรื่องการจัดรูปแบบและ
การแกะสลักการแกะสลัก

          การแกะสลัก  ตบแต่งสีสันสวยงามวิจิตรบรรจง
ในเรื่องการผสมสานทางคุณค่าอาหารและทางยา
เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพสูงสุดทั้งในแง่การป้องกัน

การบำรุงและการรักษา  ตลอดจนการใช้อาหารเป็น
เครื่องแสดงความผูกพันในหมู่ญาติมิตรและเป็นเครื่อง
แสดงฐานะทางสังคมรวมทั้งการใช้อาหารเป็นสื่อ
ทางความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ
                                                     อาหารไทย 

          เป็นอาหารที่ประกอบด้วยรสเข้มข้นมีเครื่องปรุงหลายอย่างรสชาติอาหาร
แต่ละอย่างมีรสเฉพาะตัวการใช้เครื่องปรุงรสต่างๆก็ไม่เหมือนกันผู้ประกอบอาหารไทยต้อง
ศึกษาจากตำราอาหารไทยและผู้เชี่ยวชาญการทำอาหารไทยให้อร่อยต้องใช้ความชำนาญ
และประสบการณ์ตลอดจนกรรมวิธีในการประกอบอาหารไทยผู้ทำจะต้องพิถีพิถัน ประณีต
มีขั้นตอนเพื่อให้อาหารน่ารับประทานรสชาติของอาหารไทย
          การทำอาหารไทย    ผู้ประกอบอาหารจะทำให้ได้ผลดีต้องขึ้นอยู่ที่การฝึกฝนและ
รู้วิธีการทำอาหาร รู้จักดัดแปลงตกแต่งอาหารชนิดต่าง ๆ ให้สะดุดตาสะดุดใจ
ต่อผู้ได้พบเห็นทำให้เกิดความอยากรับประทานอาหาร เมื่อรับประทานแล้วจะต้องติดใจ
ในรสชาติ และกลิ่นของอาหาร  การทำอาหาร ผู้ทำจึงควรหมั่นฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ
เพื่อให้มีประสบการณ์ต่ออาหารชนิดนั้นๆและเพื่อเป็นการปูพื้นฐานความรู้เรื่องอาหาร
ประเทศไทยมีภูมิภาคท้องถิ่นที่แตกต่างกันมากมายทำให้สภาพความเป็นอยู่ของ
ประชาชนในแต่ละชุมชนมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันโดยรวมถึงอาหารการกินด้วยอาหารของ
แต่ละภูมิภาคย่อมมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป

        ..............................อาหารไทยแท้กับอาหารไทยแปลง..........................
                    อาหารไทยแท้          คืออาหารที่คนไทยทำกันมาแต่โบราณ ส่วนมากเป็นแบบง่ายๆ เช่น ข้าวแช่ ต้มโคล้ง แกงป่า น้ำพริก เป็นต้น และหลน
          ขนมไทยแท้ก็ปรุงมาจากแป้ง น้ำตาล กะทิเป็นส่วนใหญ่ เช่น ขนมเปียกปูน ขนมเปียกอ่อน ตะโก้ ลอดช่อง เป็นต้น และถ้า
ใส่ไข่ ส่วนมากมักจะเป็นขนมไทยที่รับมาจาก
ชาติอื่น
ข้าวแช่
ต้มยำกุ้ง
อาหารไทยแปลง
          คืออาหารไทยที่แต่งแปลงมาจากเทศ หรือ
อาหารไทยที่รับมาจากต่างประเทศ บางชนิด
คนไทยคุ้นเคย จนไม่รู้สึกว่าเป็นของชาติอื่นเช่น แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น ที่จริงนั้นดัดแปลงมาจาก
ของอินเดีย และแกงจืดต้มจืดทั้งหลายก็ดัดแปลงมา
จากอาหารจีน เป็นต้น        
         อาหารหวานหรือขนมหลายอย่าง ได้รับการ
ถ่ายทอดมาจากชาวยุโรปที่เข้ามาในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น ทองหยิบ ทองหยอด
ทองโปร่ง ฝอยทอง และ สังขยาเป็นต้น

ประวัติอาหารไท
        
          อาหารไทยขึ้นชื่อได้ว่ามีประวัติมาช้านาน ผู้คนส่วนใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ
ต่างนิยมชมชอบในอาหารไทยกันมากมาย โดยเฉพาะชื่อเสียงในด้านความเข้มข้น
และจัดจ้านของรสอาหารที่ติดปากติดใจผู้คนมานับศตวรรษโดยส่วนใหญ่อาหารไทย
จะมีวิธีการประกอบอย่างง่ายๆ และ ใช้เวลาในการทำไม่มากนักโดยเฉพาะทุกครัวเรือน
ของคนไทย จะมีส่วนประกอบอาหารติดอยู่ทุกครัวเรือนไม่ว่าจะเป็น
พริก แห้ง กุ้งแห้ง น้ำปลา กะปิ ส้มมะขาม กระเทียม หัวหอมตลอด จนปลาบ้าง รวมทั้งส่วนประกอบอาหาร
จำพวกผัก และเนื้อสัตว์นานาชนิด เพราะมีวิธี
นำมาประกอบที่มีด้วยกันหลายรูปแบบไม่ ว่าจะเป็น
แกง ต้ม ผัด ยำ รวมทั้งอาหารไทยได้รับอิทธิพลใน
การปรุงอาหารรวมทั้งรูปแบบในการรับประทานอาหาร
ตั้งแต่ อดีต อาทิการนำเครื่องเทศมาใช้ในการประกอบ
อาหารก็ได้รับ อิทธิพลมาจากเปอร์เชียผ่านอินเดีย
เครื่องเทศ
หรืออาหารจำพวกผัดก็ได้ รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน เป็นต้น เมนูอาหารไทยที่ขึ้นชื่อลือชาหลายชนิดจึงประกอบไปด้วยอาหารมากมายกว่า 255 ชนิดอาหารไทยถือว่ามี
ีลักษณะพิเศษ   เนื่องจากประเทศไทยเป็นอู่ข้าว อู่น้ำ มีอาหารตามธรรมชาติที่มีพิเศษ
ตามภูมิอากาศ  และภูมิประเทศที่หลากหลายตลอดทั้งปีรวมทั้งคนไทยมีศิลปะอยู่ใน
สายเลือดอยู่แล้ว    จึงแสดงออกซึ่งศิลปะวิทยาของคนในรูปแบบการปรุงแต่งและการกิน
อาหารที่มีลักษณะเฉพาะ   ตั้งแต่เรื่องการผสมกลมกลืนในการปรุงแต่งรูป  รส  กลิ่น
ให้กลมกล่อมอร่อยและรสจัดอย่างโดดเด่นเป็นพิเศษในเรื่องการจัดรูปแบบและ
การแกะสลักการแกะสลัก

          การแกะสลัก  ตบแต่งสีสันสวยงามวิจิตรบรรจง
ในเรื่องการผสมสานทางคุณค่าอาหารและทางยา
เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพสูงสุดทั้งในแง่การป้องกัน

การบำรุงและการรักษา  ตลอดจนการใช้อาหารเป็น
เครื่องแสดงความผูกพันในหมู่ญาติมิตรและเป็นเครื่อง
แสดงฐานะทางสังคมรวมทั้งการใช้อาหารเป็นสื่อ
ทางความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ
                                                     อาหารไทย 

          เป็นอาหารที่ประกอบด้วยรสเข้มข้นมีเครื่องปรุงหลายอย่างรสชาติอาหาร
แต่ละอย่างมีรสเฉพาะตัวการใช้เครื่องปรุงรสต่างๆก็ไม่เหมือนกันผู้ประกอบอาหารไทยต้อง
ศึกษาจากตำราอาหารไทยและผู้เชี่ยวชาญการทำอาหารไทยให้อร่อยต้องใช้ความชำนาญ
และประสบการณ์ตลอดจนกรรมวิธีในการประกอบอาหารไทยผู้ทำจะต้องพิถีพิถัน ประณีต
มีขั้นตอนเพื่อให้อาหารน่ารับประทานรสชาติของอาหารไทย
          การทำอาหารไทย    ผู้ประกอบอาหารจะทำให้ได้ผลดีต้องขึ้นอยู่ที่การฝึกฝนและ
รู้วิธีการทำอาหาร รู้จักดัดแปลงตกแต่งอาหารชนิดต่าง ๆ ให้สะดุดตาสะดุดใจ
ต่อผู้ได้พบเห็นทำให้เกิดความอยากรับประทานอาหาร เมื่อรับประทานแล้วจะต้องติดใจ
ในรสชาติ และกลิ่นของอาหาร  การทำอาหาร ผู้ทำจึงควรหมั่นฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ
เพื่อให้มีประสบการณ์ต่ออาหารชนิดนั้นๆและเพื่อเป็นการปูพื้นฐานความรู้เรื่องอาหาร
ประเทศไทยมีภูมิภาคท้องถิ่นที่แตกต่างกันมากมายทำให้สภาพความเป็นอยู่ของ
ประชาชนในแต่ละชุมชนมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันโดยรวมถึงอาหารการกินด้วยอาหารของ
แต่ละภูมิภาคย่อมมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป

        ..............................อาหารไทยแท้กับอาหารไทยแปลง..........................
                    อาหารไทยแท้          คืออาหารที่คนไทยทำกันมาแต่โบราณ ส่วนมากเป็นแบบง่ายๆ เช่น ข้าวแช่ ต้มโคล้ง แกงป่า น้ำพริก เป็นต้น และหลน
          ขนมไทยแท้ก็ปรุงมาจากแป้ง น้ำตาล กะทิเป็นส่วนใหญ่ เช่น ขนมเปียกปูน ขนมเปียกอ่อน ตะโก้ ลอดช่อง เป็นต้น และถ้า
ใส่ไข่ ส่วนมากมักจะเป็นขนมไทยที่รับมาจาก
ชาติอื่น
ข้าวแช่
ต้มยำกุ้ง
อาหารไทยแปลง
          คืออาหารไทยที่แต่งแปลงมาจากเทศ หรือ
อาหารไทยที่รับมาจากต่างประเทศ บางชนิด
คนไทยคุ้นเคย จนไม่รู้สึกว่าเป็นของชาติอื่นเช่น แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น ที่จริงนั้นดัดแปลงมาจาก
ของอินเดีย และแกงจืดต้มจืดทั้งหลายก็ดัดแปลงมา
จากอาหารจีน เป็นต้น        
         อาหารหวานหรือขนมหลายอย่าง ได้รับการ
ถ่ายทอดมาจากชาวยุโรปที่เข้ามาในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น ทองหยิบ ทองหยอด
ทองโปร่ง ฝอยทอง และ สังขยาเป็นต้น






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น